17.6.13

การอธิษฐานคืออะไร

มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของชีวิต ที่หลายคนยังไม่ทราบว่า ในทุกคนนั้นมีอยู่ในตัวเองและมีพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้ทุกคนพบกับ สิ่งที่ปรารถนา สิ่งนั้นคือ การอธิษฐาน หลายคนอาจจะทราบ อาจจะยังไม่รู้ว่า

http://www.pendulumthai.com/pic_angel3.jpg
ที่แท้จริงนั้นการอธิษฐานนั้นคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไรถึงการอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผลได้โดยเร็วตามที่เราต้องการ
การอธิษฐานนั้น ที่เข้าใจกันแบบง่ายๆ ก็คือ เป็นการแสดงความตั้งใจหรือมุ่งมั่นปรารถนาทางจิตใจ ที่หวังจะให้เกิดผลสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการมุ่งหวังในสิ่งที่ยังมามาถึง เป็นเรื่องของอนาคต เป็นการร้องขอหรือความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ตนคาดหวัง หลายท่านผู้รู้บอกว่าถือว่าเป็นการล็อคเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิตอย่างหนึ่ง และมีปรากฏอยู่ในทุกๆ ศาสนา
เพราะเชื่อว่าการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายหรือผิดศีลธรรม ถ้าการอธิษฐานนั้นอยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี ที่ถูกต้อง
ดังในศาสนาคริสต์ การอธิษฐานนั้นถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญในชีวิตเป็นการสานสัมพันธ์และตีสนิท กับพระเจ้า คำว่า “ตีสนิท” ของคริสตชนนั้นถือเป็นเรื่องจริงจังที่ทุกคนต้องทำถือเป็นหน้าที่และเป้นการ บ่งบอกถึงการเป็นคริสตชนที่ดี
เพราะเป็นการแสดงถึงความเคารพและเชื่อฟัง ยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตและนำทางชีวิตในทุกเรื่อง (คนที่นับถือศาสนาอื่น ไม่เข้าใจคำนี้มักจะเอามาล้อเล่น ซึ่งเป็นการไม่สมควร)
ในศาสนาคริสต์ไม่ว่านิกายใดเชื่อกันว่า พระเจ้า ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและจะบันดาลและให้ได้ตามความต้องการตามที่มนุษย์ ที่อธิษฐานร้องขอตามความเชื่อที่ว่า
ถ้าขอแล้วจะได้ ถ้าหาแล้วจะพบ
ถ้าขอแล้วจะได้ หมายถึง ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องเพียรขอทุกสิ่งจากพระเจ้าเท่านั้น ด้วยกำลังของมนุษย์นั้นไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการได้ ทั้งหมด บางครั้งอุปสรรคและเรื่องที่ทำนั้นจะเกินกำลัง เกินอำนาจของมนุษย์ จึงต้องทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อให้สิ่งนั้นสำเร็จ

ถ้าหาแล้วจะพบ หมายถึง การเข้าหาพระเจ้าด้วยการปฏิบัติตนให้เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าทุกย่างก้าว ของชีวิต ทั้งกาย วาจา และใจ โดยยึดหลักคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งการเชื่อฟัง การดำเนินชีวิตที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมหรือไบเบิล ที่ถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้าโดยตรง
ที่พระเจ้าดลใจเหล่าผู้เผยวจนะ สาวก ผู้รับใช้ในศาสนาให้บันทึกขึ้นมาโดยตรง ถ้าเป็นศาสนาพุทธก็คือ พระไตรปิฎก หรือศาสนาอิสลามก็คือ พระคัมภีร์กุรอ่าน ที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาและหัวใจหลักในการนับถือศาสนาที่ถูกต้องที่สุด
มีเรื่องหนึ่งในคัมภีร์พระคริสตธรรมหรือ ไบเบิล ที่แสดงถึงการสัมฤทธิ์ผลในการอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เป็นเรื่องของดาวิดผู้ฆ่าโกลิอัท หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในเรื่องดาวิดผู้ฆ่ายักษ์ เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งในสมัยที่ยิวโบราณหรืออิสราเอลนั้นมีกษัตริย์ ปกครองชื่อ ซาอูล ซึ่งภายหลังไม่เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าด้วยความประพฤติบางอย่างที่ขัดต่อ น้ำพระทัยของพระเจ้า
ในช่วงปลายสมัยของกษัตริย์ซาอูลได้มีกองทัพ ของชาวฟีลิสเตีย ยกพลมาสู้กับชาวยิว ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ชาวฟีลิสเตียยึดเนินเขาด้านหนึ่ง ชาวอิสราเอลก็ยึดเนินเขาอีกด้านหนึ่ง ก็คงจะตั้งเผชิญหน้ากันหลายวันไม่มีใครออกมารบ ดูลาดเลากันไปมาจนในที่สุด ได้มีการตกลงที่จะส่งตัวแทนมาต่อสู้กัน
กองทัพฟีลิสเตียได้ส่งทหารออมาคนหนึ่งชื่อ ว่า โกลิอัทหรือโกไลแอธ ที่ต้องเรียกว่าเป็นยักษ์เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเขาสูงถึง 6 ศอกกับอีก 1 ฝ่ามือ ถ้าเทียบมาตราปัจจุบันน่าจะประมาณ3 เมตรเฉพาะเกราะของโกลิอัทก็หนักกว่า57 กิโลกรัมด้ามหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ปลายหอกทำด้วยเหล็กหนัก7 กิโลกรัม
เมื่อทหารยิวเห็นโกลิอัท ยืนตระหง่านอยู่ก็ไม่กล้าออกมารบ เพราะกลัวตายจนในที่สุด ดาวิดเด็กเลี้ยงแกะและคนดีดพิณของกษัตริย์ซาอูล ได้อาสาออกมารบ ซึ่งเมื่อกษัตริย์ซาอูลได้ยินดังนั้น จึงห้ามปรามเพราะเห็นว่า จะไปตายเสียเปล่าๆ
เพราะดาวิดนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกทั้งไม่มีความเชี่ยวชาญอะไรเลยในเรื่องของอาวุธและการทหาร แต่ดาวิดมีความเชื่อมั่นเหนือทุกคนในแผ่นดินยิวในขณะนั้น ดาวิดเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา และจะอวยพระพรต่อเขาเมื่อเจานั้นอธิษฐานร้องขอชัยชนะ ดาวิดได้กล่าวกับกษัตริย์ซาอูลที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า
“ข้าพระบาทดูแลแกะของบิดา เมื่อมีสิงโตหรือหมีมาคาบแกะไปจากฝูง ข้าพระบาทจะไล่ตามฟาดฟันช่วยแกะนั้นออกมาจากปากสิงโต หากมันหันมาเล่นงานข้าพระบาทก็จะกระชากขนของมัน ฟาดมัน และฆ่าเสีย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าทั้งสิงโตและหมีมาแล้ว
ชาวฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้จะ เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขามาสบประมาทกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระบาทจากเขี้ยวเล็บของสิงโตและหมีจะช่วย ข้าพระบาทจากมือชาวฟีลิสเตียผู้นี้”
(1 ซามูเอล 17:34-37)
เมื่อดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท เขาไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าพระเจ้าต้องช่วยเขาแน่นอน เขาพูดกับโกลิอัทว่า
“ท่านถือดาบ ถือหอก และหอกซัดมาสู้กับเรา ส่วนเราจะสู้กับท่านในพระนามพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอลซึ่งท่านลบหลู่ วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านแก่เรา เราจะฆ่าและตัดหัวท่าน
วันนี้เราจะเอาซากศพของกองทัพฟีลิสเตียให้ นกกาและสัตว์ป่ากิน แล้วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล คนทั้งปวงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรง ช่วยให้รอดด้วยดาบหรือหอก การศึกครั้งนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงมอบเจ้าทุกคนไว้ในมือของพวกเรา”
(1 ซามูเอล 17:45-47)
โกลิอัท ยักษ์ใหญ่แห่งฟีลิสเตีย เมื่อได้ยินเด็กเลี้ยงแกะพูดอย่างนั้นก็หัวเราะ และยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีกที่เห็นดาวิดเดินมาหาความตายพร้อมกับหินก้อน เล็กๆ 5 ก้อนและสลิงหรือเชือกหนังในมือ ที่เอวมีดาบด้ามเล็กๆ คาดเอวมา ในขณะที่เขานั้นเต็มยศทั้งเสื้อเกราะและอาวุธหนัก
แต่แล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานของดาวิดที่เต็มไปด้วยความเชื่อไม่มีเคลือบแคลงสงสัย แม้แต่น้อย เพราะดาวิดใช้หินเพียงก้อนเดียวใน 5 ก้อนเขวี้ยงไปโดนที่กลางหน้าผากของโกลิอัทจนเขาล้มคว่ำลงไป
แล้วดาวิดก็ยืนบนร่างเขา ดึงดาบออกจากฝักและตัดศีรษะของโกลิอัท ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารยิว ต่อมาดาวิดคนนี้แหละที่กลายเป็นกษัตริย์ดาวิดหรือเดวิด  กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของชนชาติยิวจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของดาวิดเป็นเรื่องที่ชาวคริสตชนรู้จักกันดีในเรื่องของการอธิษฐานและ การตอบของพระเจ้า
การอธิษฐานในทางศาสนาคริสต์จึงเปรียบเสมือน การไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้า เป็นเหมือนช่องทางพิเศษสำหรับผู้ที่ยึดมั่นในตัวพระองค์และอยากจะได้ในสิ่ง ที่ดีงาม ที่ต้องใช้การอธิษฐานเท่านั้นจึงจะได้รับ แต่ทว่า ในความเชื่อของคริสต์ พระเจ้าก็มีคำตอบในการให้ผลของการอธิษฐานที่ไม่เหมือนกัน
เพราะว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากัน และจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ตามเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาที่สมควรได้รับแล้ว เท่านั้น และในบางอย่างที่ไม่เหมาะสมพระเจ้าก็จะไม่ให้เพื่อไม่ให้มนุษย์นั้นต้องพบ กับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
ทั้งนี้การจะได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองได้ จนมีคำๆ หนึ่งที่เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า “แล้วแต่พระเจ้าเถอะ” หรือ” แล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้าเถิด”
ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จึงมีเชื่อมั่นและ ทราบว่า พระเจ้าของเขาเหล่านั้นจะตอบสนองการอธิษฐานได้ในสิ่งที่ตนเองร้องขอได้อย่าง แน่นอนและจะได้รับสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ร้องขอเสมอหากรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม
หากเป็นการอธิษฐานในแบบของพระพุทธศาสนาจะมี ความเชื่อในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” คือว่าด้วยเหตุและผลที่เป็นไปตามการกระทำเข้ามาเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัย สำคัญ ชาวพุทธศาสนาจะมีความเชื่อและความคุ้นเคยกับการอธิษฐานว่า
การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเมื่อได้ประกอบคุณ งามความดีต่างๆ ก่อนให้มากพอหรือมีการทำเหตุให้ตรงสมบูรณ์ พร้อมแล้วค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้ หากมีพลังบุญเป็นปัจจัยเสริมมากพอแรงอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตาม ความปรารถนาที่ตั้งใจไว้

ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามนั้น
ในศาสนาพุทธนั้น เชื่อว่าโชคชะตาชีวิตของคนทุกคนนั้น จะดีหรือเลว จะมั่งมีหรือจน จะเป็นทุกข์หรือสุข จะผ่านอุปสรรคในชีวิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใดทั้งสิ้น ไม่มีฟ้าลิขิตทั้งสิ้น
สิ่งที่จะกำหนดโชคชะตาชีวิตของคนนั้นคือ กรรมลิขิต มนุษย์เป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการกระทำที่มาจากกาย วาจา ใจ ที่รวมเรียกว่า กรรม และมีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครมีอำนาจมาเบี่ยงเบนผลลัพธ์ได้ ใครทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้ผลตามเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ใครทำชั่วแล้วได้ดี หรือทำดีแล้วได้ชั่วเป็นอันขาด
การอธิษฐานนั้นเป็นการสร้างพลังจิตให้เข้ม แข็ง เป็นการตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไป เป็นเข็มทิศของจิต หากแต่จะสำเร็จหรือไม่มีองค์ประกอบสำคัญๆ อยู่หนึ่งประการ คือ จิตในขณะที่กำลังอธิษฐานนั้นมีกำลังหรือไม่?
และองค์ประกอบสำคัญนี้ยังมีองค์ประกอบอื่น สนับสนุนอยู่อีกหนึ่งอย่าง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เคยเป็นผู้ประกอบกรรมที่สนับสนุนกับการอธิษฐานนี้หรือไม่ หากมีมากก็จะอธิษฐานให้สำเร็จได้โดยง่าย หากมีน้อยก็จะสำเร็จได้โดยยาก และหากไม่มีก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย (ซึ่งจะขออนุญาตอธิบายให้ทราบอย่างละเอียดในบทต่อไป โปรดอดใจไว้อยากให้ทำความเข้าในในเรื่องของการอธิษฐานอย่างถ่องแท้เสียก่อน)
การอธิษฐานนี้ บางท่านอาจจะเห็นว่ามันขัดแย้งกับกฎแห่งกรรม แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมเลยแม้แต่น้อย การอธิษฐานเปรียบได้ดั่งเพียงการจัดระเบียบใจจิตใจนี้เท่านั้นว่าจิตจะ น้อมนำไปทางไหน เมื่อจิตน้อมไปทางไหนเวรกรรมในทางนั้นก็จะตามมาสนองในแนวทางนั้น
สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการอธิษฐาน ก็เช่น การสวดมนต์ การไปทำบุญทำทาน การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานศาลกล่าว การนำของไปเซ่นไหว้บูชาต่อรูปเคารพ องค์เทพต่างๆ ฯลฯ ไปจนถึงการเชื่อมโยงถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองได้ให้ความเคารพบูชา โดยต้องยึดหลักปฏิบัติตามพิธีกรรมดังกล่าวที่ตนมีความเชื่ออยู่อย่างถูกต้อง แล้วจึงค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐาน ซึ่งเชื่อว่าผลของการอธิษฐานจะเป็นไปตามที่กรรมกำหนด

โปรดอย่าสับสนเป็นอันขาดว่า การอธิษฐานกับการไปบนบานนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งสองสิ่งนี้คนละเรื่อง คนละทางกัน การอธิษฐานเป็นเรื่องดีในชีวิตที่ควรทำ แต่การบนบานนั้นเป็นการไปติดสินบนที่ไม่ควรทำ
แต่การอธิษฐานในแบบที่กล่าวอ้างถึงสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ใดๆ นี้เพียงอย่างเดียวนี้ มีความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาว่าเป็นเพียงการ “เสริมสร้างและให้กำลังใจ” และ เป็นกลไกป้องกันตนเองทางจิตใจแบบหนึ่งคือ การที่คนเราได้พึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นการหาที่พึ่งทางใจ มีจุดประสงค์เพื่อลดความเครียด ความวิตกกังวลและคลายทุกข์ลงแต่ก็ยังไม่มีผลต่อการช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงใน ทางปฏิบัติโดยตรง
ดังนั้นการอธิษฐานที่แท้จริงและจะมีพลานุ ภาพมากกว่าก็คือ การที่ผู้ที่ได้อธิษฐานนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งและจิตมีความบริสุทธิ์ละเอียด มากพอ ที่จะทำให้เกิด “ปัญญา” และได้ใช้ “ปัญญา” วิเคราะห์พิจารณาถึงสาเหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่ทำให้ชีวิตของตนเองมี ทุกข์อยู่นั้นว่าเกิดมาจากสิ่งใดและต้องแก้ไขอย่างไร
ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้ ยังไม่ใช่ปัญญาทั้งหมด เพราะปัญญาคือ การตกผลึกของความรู้ เป็นความรู้ที่แท้จริงและนำไปใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งได้ เหมือนข้าวสารนั้นเป็นเพียงความรู้ แต่ยังไม่มีค่าอะไรหรือมีคุณค่ามากขึ้น ถ้ายังไม่ได้เอาไปหุงเป็นข้าวสวย หรือข้าวต้มนำมากินเพื่อบำรุงร่างกาย
จิตที่บริสุทธิ์และมีกำลังมากพอเป็นตัวแปร ที่จะทำความรู้นั้นให้เป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็จะเห็นความสว่างในการแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น รู้จักเหตุ ถ้าเหตุหรือการกระทำของเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องรู้จักวิธีปรับปรุงเหตุเพื่อให้ผลนั้นออกมาดี
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการที่จะรวยมีเงินทอง เรารู้ดีว่าเหตุที่จะทำให้เราร่ำรวยได้นั้นอยู่ที่ความขยันหมั่น เพียร ความอดทน ซื่อสัตย์มีน้ำใจเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น ความสามารถพิเศษ ทุนรอน สถานที่ประกอบการ ฯลฯ เหตุเหล่านี้ถ้ายังไม่เต็มที่ยังไม่พร้อม ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังไม่เต็มที่หรือสมบูรณ์เช่นกัน
ประเภทว่าอยากรวย แต่ไม่ทำงาน นอนดึกตื่นสายโดยไร้สาเหตุ อยากขายข้าวแกงแต่ทำกับข้าวไม่เป็น อยากเปิดร้านอินเตอร์เน็ตมีคนมาใช้บริการเยอะๆ เพื่อจะได้รวยเหมือนคนอื่น แต่ดันไปเปิดในแหล่งที่ไกลชุมชนหรือในที่ไม่มีคนเล่นอินเตอร์เน็ตเป็น แบบนี้เหตุและปัจจัยมันไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ทำอย่างไรก็ไม่รวย ต่อให้ไปอธิษฐาน 500 วัด 1,000 ศาลเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อได้สร้างบุญหรือเหตุให้ตรงแล้ว หลังจากนั้นก็จะใช้การอธิษฐานในสิ่งที่ตนเองต้องการกำหนดขึ้นมาเป็น “สัจจะวาจา” ที่ จะแสดงความตั้งใจแน่วแน่ในการประพฤติปฏิบัติตนตามที่ตนได้ให้คำมั่นสัญญาเอา ไว้ โดยมีหลักอิงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาที่ตนเองมีความเชื่อมั่นอยู่เป็นการ เสริมกำลังใจ
การอธิษฐานโดยอาศัยหลักและวิธีการแบบนี้นี่ แหละครับ จึงจะก่อกำลังในการแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้ผล สามารถยกระดับภูมิธรรมของชีวิตให้สูงขึ้นและเห็นผลได้จริงจากการปฏิบัติตน ตามแนวทางที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
นั่นจึงถึงซึ่งความหมายของ “การอธิษฐาน” โดยแท้จริง

0 comments:

Post a Comment