มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของชีวิต
ที่หลายคนยังไม่ทราบว่า
ในทุกคนนั้นมีอยู่ในตัวเองและมีพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้ทุกคนพบกับ
สิ่งที่ปรารถนา สิ่งนั้นคือ การอธิษฐาน หลายคนอาจจะทราบ อาจจะยังไม่รู้ว่า


ที่แท้จริงนั้นการอธิษฐานนั้นคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไรถึงการอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผลได้โดยเร็วตามที่เราต้องการ
การอธิษฐานนั้น ที่เข้าใจกันแบบง่ายๆ ก็คือ
เป็นการแสดงความตั้งใจหรือมุ่งมั่นปรารถนาทางจิตใจ
ที่หวังจะให้เกิดผลสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม
เป็นการมุ่งหวังในสิ่งที่ยังมามาถึง เป็นเรื่องของอนาคต
เป็นการร้องขอหรือความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ตนคาดหวัง
หลายท่านผู้รู้บอกว่าถือว่าเป็นการล็อคเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิตอย่างหนึ่ง
และมีปรากฏอยู่ในทุกๆ ศาสนา
เพราะเชื่อว่าการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ดี
ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายหรือผิดศีลธรรม
ถ้าการอธิษฐานนั้นอยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี ที่ถูกต้อง
ดังในศาสนาคริสต์
การอธิษฐานนั้นถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญในชีวิตเป็นการสานสัมพันธ์และตีสนิท
กับพระเจ้า คำว่า “ตีสนิท”
ของคริสตชนนั้นถือเป็นเรื่องจริงจังที่ทุกคนต้องทำถือเป็นหน้าที่และเป้นการ
บ่งบอกถึงการเป็นคริสตชนที่ดี
เพราะเป็นการแสดงถึงความเคารพและเชื่อฟัง
ยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตและนำทางชีวิตในทุกเรื่อง
(คนที่นับถือศาสนาอื่น ไม่เข้าใจคำนี้มักจะเอามาล้อเล่น
ซึ่งเป็นการไม่สมควร)
ในศาสนาคริสต์ไม่ว่านิกายใดเชื่อกันว่า
พระเจ้า
ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและจะบันดาลและให้ได้ตามความต้องการตามที่มนุษย์
ที่อธิษฐานร้องขอตามความเชื่อที่ว่า
“ถ้าขอแล้วจะได้ ถ้าหาแล้วจะพบ”
ถ้าขอแล้วจะได้ หมายถึง
ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องเพียรขอทุกสิ่งจากพระเจ้าเท่านั้น
ด้วยกำลังของมนุษย์นั้นไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการได้
ทั้งหมด บางครั้งอุปสรรคและเรื่องที่ทำนั้นจะเกินกำลัง เกินอำนาจของมนุษย์
จึงต้องทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อให้สิ่งนั้นสำเร็จ
ถ้าหาแล้วจะพบ หมายถึง
การเข้าหาพระเจ้าด้วยการปฏิบัติตนให้เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าทุกย่างก้าว
ของชีวิต ทั้งกาย วาจา และใจ
โดยยึดหลักคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งการเชื่อฟัง
การดำเนินชีวิตที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมหรือไบเบิล
ที่ถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้าโดยตรง
ที่พระเจ้าดลใจเหล่าผู้เผยวจนะ สาวก
ผู้รับใช้ในศาสนาให้บันทึกขึ้นมาโดยตรง ถ้าเป็นศาสนาพุทธก็คือ พระไตรปิฎก
หรือศาสนาอิสลามก็คือ พระคัมภีร์กุรอ่าน
ที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาและหัวใจหลักในการนับถือศาสนาที่ถูกต้องที่สุด
มีเรื่องหนึ่งในคัมภีร์พระคริสตธรรมหรือ
ไบเบิล ที่แสดงถึงการสัมฤทธิ์ผลในการอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า
เป็นเรื่องของดาวิดผู้ฆ่าโกลิอัท
หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในเรื่องดาวิดผู้ฆ่ายักษ์
เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งในสมัยที่ยิวโบราณหรืออิสราเอลนั้นมีกษัตริย์
ปกครองชื่อ ซาอูล
ซึ่งภายหลังไม่เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าด้วยความประพฤติบางอย่างที่ขัดต่อ
น้ำพระทัยของพระเจ้า
ในช่วงปลายสมัยของกษัตริย์ซาอูลได้มีกองทัพ
ของชาวฟีลิสเตีย ยกพลมาสู้กับชาวยิว ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน
ชาวฟีลิสเตียยึดเนินเขาด้านหนึ่ง ชาวอิสราเอลก็ยึดเนินเขาอีกด้านหนึ่ง
ก็คงจะตั้งเผชิญหน้ากันหลายวันไม่มีใครออกมารบ ดูลาดเลากันไปมาจนในที่สุด
ได้มีการตกลงที่จะส่งตัวแทนมาต่อสู้กัน
กองทัพฟีลิสเตียได้ส่งทหารออมาคนหนึ่งชื่อ
ว่า โกลิอัทหรือโกไลแอธ
ที่ต้องเรียกว่าเป็นยักษ์เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเขาสูงถึง 6
ศอกกับอีก 1 ฝ่ามือ ถ้าเทียบมาตราปัจจุบันน่าจะประมาณ3
เมตรเฉพาะเกราะของโกลิอัทก็หนักกว่า57
กิโลกรัมด้ามหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ปลายหอกทำด้วยเหล็กหนัก7 กิโลกรัม
เมื่อทหารยิวเห็นโกลิอัท
ยืนตระหง่านอยู่ก็ไม่กล้าออกมารบ เพราะกลัวตายจนในที่สุด
ดาวิดเด็กเลี้ยงแกะและคนดีดพิณของกษัตริย์ซาอูล ได้อาสาออกมารบ
ซึ่งเมื่อกษัตริย์ซาอูลได้ยินดังนั้น จึงห้ามปรามเพราะเห็นว่า
จะไปตายเสียเปล่าๆ
เพราะดาวิดนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆ
อีกทั้งไม่มีความเชี่ยวชาญอะไรเลยในเรื่องของอาวุธและการทหาร
แต่ดาวิดมีความเชื่อมั่นเหนือทุกคนในแผ่นดินยิวในขณะนั้น
ดาวิดเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา
และจะอวยพระพรต่อเขาเมื่อเจานั้นอธิษฐานร้องขอชัยชนะ
ดาวิดได้กล่าวกับกษัตริย์ซาอูลที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า
“ข้าพระบาทดูแลแกะของบิดา
เมื่อมีสิงโตหรือหมีมาคาบแกะไปจากฝูง
ข้าพระบาทจะไล่ตามฟาดฟันช่วยแกะนั้นออกมาจากปากสิงโต
หากมันหันมาเล่นงานข้าพระบาทก็จะกระชากขนของมัน ฟาดมัน และฆ่าเสีย
ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าทั้งสิงโตและหมีมาแล้ว
ชาวฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้จะ
เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น
เพราะเขามาสบประมาทกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่
องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระบาทจากเขี้ยวเล็บของสิงโตและหมีจะช่วย
ข้าพระบาทจากมือชาวฟีลิสเตียผู้นี้”
(1 ซามูเอล 17:34-37)
เมื่อดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท เขาไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าพระเจ้าต้องช่วยเขาแน่นอน เขาพูดกับโกลิอัทว่า
“ท่านถือดาบ ถือหอก และหอกซัดมาสู้กับเรา
ส่วนเราจะสู้กับท่านในพระนามพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์
พระเจ้าของกองทัพอิสราเอลซึ่งท่านลบหลู่
วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านแก่เรา เราจะฆ่าและตัดหัวท่าน
วันนี้เราจะเอาซากศพของกองทัพฟีลิสเตียให้
นกกาและสัตว์ป่ากิน แล้วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล
คนทั้งปวงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรง
ช่วยให้รอดด้วยดาบหรือหอก การศึกครั้งนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า
พระองค์จะทรงมอบเจ้าทุกคนไว้ในมือของพวกเรา”
(1 ซามูเอล 17:45-47)
โกลิอัท ยักษ์ใหญ่แห่งฟีลิสเตีย
เมื่อได้ยินเด็กเลี้ยงแกะพูดอย่างนั้นก็หัวเราะ
และยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีกที่เห็นดาวิดเดินมาหาความตายพร้อมกับหินก้อน
เล็กๆ 5 ก้อนและสลิงหรือเชือกหนังในมือ ที่เอวมีดาบด้ามเล็กๆ คาดเอวมา
ในขณะที่เขานั้นเต็มยศทั้งเสื้อเกราะและอาวุธหนัก
แต่แล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น
พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานของดาวิดที่เต็มไปด้วยความเชื่อไม่มีเคลือบแคลงสงสัย
แม้แต่น้อย เพราะดาวิดใช้หินเพียงก้อนเดียวใน 5
ก้อนเขวี้ยงไปโดนที่กลางหน้าผากของโกลิอัทจนเขาล้มคว่ำลงไป
แล้วดาวิดก็ยืนบนร่างเขา
ดึงดาบออกจากฝักและตัดศีรษะของโกลิอัท ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารยิว
ต่อมาดาวิดคนนี้แหละที่กลายเป็นกษัตริย์ดาวิดหรือเดวิด
กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของชนชาติยิวจนถึงทุกวันนี้
เรื่องของดาวิดเป็นเรื่องที่ชาวคริสตชนรู้จักกันดีในเรื่องของการอธิษฐานและ
การตอบของพระเจ้า
การอธิษฐานในทางศาสนาคริสต์จึงเปรียบเสมือน
การไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้า
เป็นเหมือนช่องทางพิเศษสำหรับผู้ที่ยึดมั่นในตัวพระองค์และอยากจะได้ในสิ่ง
ที่ดีงาม ที่ต้องใช้การอธิษฐานเท่านั้นจึงจะได้รับ แต่ทว่า
ในความเชื่อของคริสต์
พระเจ้าก็มีคำตอบในการให้ผลของการอธิษฐานที่ไม่เหมือนกัน
เพราะว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากัน
และจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ตามเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาที่สมควรได้รับแล้ว
เท่านั้น
และในบางอย่างที่ไม่เหมาะสมพระเจ้าก็จะไม่ให้เพื่อไม่ให้มนุษย์นั้นต้องพบ
กับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
ทั้งนี้การจะได้หรือไม่ได้นั้น
ขึ้นอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองได้ จนมีคำๆ
หนึ่งที่เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า “แล้วแต่พระเจ้าเถอะ” หรือ”
แล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้าเถิด”
ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จึงมีเชื่อมั่นและ
ทราบว่า
พระเจ้าของเขาเหล่านั้นจะตอบสนองการอธิษฐานได้ในสิ่งที่ตนเองร้องขอได้อย่าง
แน่นอนและจะได้รับสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ร้องขอเสมอหากรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม
หากเป็นการอธิษฐานในแบบของพระพุทธศาสนาจะมี
ความเชื่อในเรื่อง “กฎแห่งกรรม”
คือว่าด้วยเหตุและผลที่เป็นไปตามการกระทำเข้ามาเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัย
สำคัญ ชาวพุทธศาสนาจะมีความเชื่อและความคุ้นเคยกับการอธิษฐานว่า
การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเมื่อได้ประกอบคุณ
งามความดีต่างๆ ก่อนให้มากพอหรือมีการทำเหตุให้ตรงสมบูรณ์
พร้อมแล้วค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้
หากมีพลังบุญเป็นปัจจัยเสริมมากพอแรงอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตาม
ความปรารถนาที่ตั้งใจไว้
ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามนั้น
ในศาสนาพุทธนั้น
เชื่อว่าโชคชะตาชีวิตของคนทุกคนนั้น จะดีหรือเลว จะมั่งมีหรือจน
จะเป็นทุกข์หรือสุข จะผ่านอุปสรรคในชีวิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า
ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใดทั้งสิ้น ไม่มีฟ้าลิขิตทั้งสิ้น
สิ่งที่จะกำหนดโชคชะตาชีวิตของคนนั้นคือ
กรรมลิขิต มนุษย์เป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการกระทำที่มาจากกาย
วาจา ใจ ที่รวมเรียกว่า กรรม และมีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ทำดีได้ดี
ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครมีอำนาจมาเบี่ยงเบนผลลัพธ์ได้
ใครทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้ผลตามเหตุที่เกิดขึ้นนั้น
ไม่ใช่ใครทำชั่วแล้วได้ดี หรือทำดีแล้วได้ชั่วเป็นอันขาด
การอธิษฐานนั้นเป็นการสร้างพลังจิตให้เข้ม
แข็ง เป็นการตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไป
เป็นเข็มทิศของจิต หากแต่จะสำเร็จหรือไม่มีองค์ประกอบสำคัญๆ
อยู่หนึ่งประการ คือ จิตในขณะที่กำลังอธิษฐานนั้นมีกำลังหรือไม่?
และองค์ประกอบสำคัญนี้ยังมีองค์ประกอบอื่น
สนับสนุนอยู่อีกหนึ่งอย่าง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ
เคยเป็นผู้ประกอบกรรมที่สนับสนุนกับการอธิษฐานนี้หรือไม่
หากมีมากก็จะอธิษฐานให้สำเร็จได้โดยง่าย หากมีน้อยก็จะสำเร็จได้โดยยาก
และหากไม่มีก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย
(ซึ่งจะขออนุญาตอธิบายให้ทราบอย่างละเอียดในบทต่อไป
โปรดอดใจไว้อยากให้ทำความเข้าในในเรื่องของการอธิษฐานอย่างถ่องแท้เสียก่อน)
การอธิษฐานนี้
บางท่านอาจจะเห็นว่ามันขัดแย้งกับกฎแห่งกรรม
แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมเลยแม้แต่น้อย
การอธิษฐานเปรียบได้ดั่งเพียงการจัดระเบียบใจจิตใจนี้เท่านั้นว่าจิตจะ
น้อมนำไปทางไหน
เมื่อจิตน้อมไปทางไหนเวรกรรมในทางนั้นก็จะตามมาสนองในแนวทางนั้น
สำหรับกิจกรรมต่างๆ
ที่มีความเกี่ยวข้องกับการอธิษฐาน ก็เช่น การสวดมนต์ การไปทำบุญทำทาน
การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานศาลกล่าว
การนำของไปเซ่นไหว้บูชาต่อรูปเคารพ องค์เทพต่างๆ ฯลฯ
ไปจนถึงการเชื่อมโยงถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ
เพื่อเป็นการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองได้ให้ความเคารพบูชา
โดยต้องยึดหลักปฏิบัติตามพิธีกรรมดังกล่าวที่ตนมีความเชื่ออยู่อย่างถูกต้อง
แล้วจึงค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐาน
ซึ่งเชื่อว่าผลของการอธิษฐานจะเป็นไปตามที่กรรมกำหนด
โปรดอย่าสับสนเป็นอันขาดว่า
การอธิษฐานกับการไปบนบานนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งสองสิ่งนี้คนละเรื่อง
คนละทางกัน การอธิษฐานเป็นเรื่องดีในชีวิตที่ควรทำ
แต่การบนบานนั้นเป็นการไปติดสินบนที่ไม่ควรทำ
แต่การอธิษฐานในแบบที่กล่าวอ้างถึงสิ่ง
ศักดิ์สิทธิ์ใดๆ นี้เพียงอย่างเดียวนี้
มีความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาว่าเป็นเพียงการ “เสริมสร้างและให้กำลังใจ” และ
เป็นกลไกป้องกันตนเองทางจิตใจแบบหนึ่งคือ
การที่คนเราได้พึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นการหาที่พึ่งทางใจ
มีจุดประสงค์เพื่อลดความเครียด
ความวิตกกังวลและคลายทุกข์ลงแต่ก็ยังไม่มีผลต่อการช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงใน
ทางปฏิบัติโดยตรง
ดังนั้นการอธิษฐานที่แท้จริงและจะมีพลานุ
ภาพมากกว่าก็คือ
การที่ผู้ที่ได้อธิษฐานนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งและจิตมีความบริสุทธิ์ละเอียด
มากพอ ที่จะทำให้เกิด “ปัญญา” และได้ใช้ “ปัญญา”
วิเคราะห์พิจารณาถึงสาเหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่ทำให้ชีวิตของตนเองมี
ทุกข์อยู่นั้นว่าเกิดมาจากสิ่งใดและต้องแก้ไขอย่างไร
ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้
ยังไม่ใช่ปัญญาทั้งหมด เพราะปัญญาคือ การตกผลึกของความรู้
เป็นความรู้ที่แท้จริงและนำไปใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งได้
เหมือนข้าวสารนั้นเป็นเพียงความรู้ แต่ยังไม่มีค่าอะไรหรือมีคุณค่ามากขึ้น
ถ้ายังไม่ได้เอาไปหุงเป็นข้าวสวย หรือข้าวต้มนำมากินเพื่อบำรุงร่างกาย
จิตที่บริสุทธิ์และมีกำลังมากพอเป็นตัวแปร
ที่จะทำความรู้นั้นให้เป็นปัญญา
เมื่อมีปัญญาก็จะเห็นความสว่างในการแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น รู้จักเหตุ
ถ้าเหตุหรือการกระทำของเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี
ก็ต้องรู้จักวิธีปรับปรุงเหตุเพื่อให้ผลนั้นออกมาดี
ตัวอย่างเช่น
หากเราต้องการที่จะรวยมีเงินทอง
เรารู้ดีว่าเหตุที่จะทำให้เราร่ำรวยได้นั้นอยู่ที่ความขยันหมั่น เพียร
ความอดทน ซื่อสัตย์มีน้ำใจเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น ความสามารถพิเศษ ทุนรอน
สถานที่ประกอบการ ฯลฯ เหตุเหล่านี้ถ้ายังไม่เต็มที่ยังไม่พร้อม
ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังไม่เต็มที่หรือสมบูรณ์เช่นกัน
ประเภทว่าอยากรวย แต่ไม่ทำงาน
นอนดึกตื่นสายโดยไร้สาเหตุ อยากขายข้าวแกงแต่ทำกับข้าวไม่เป็น
อยากเปิดร้านอินเตอร์เน็ตมีคนมาใช้บริการเยอะๆ เพื่อจะได้รวยเหมือนคนอื่น
แต่ดันไปเปิดในแหล่งที่ไกลชุมชนหรือในที่ไม่มีคนเล่นอินเตอร์เน็ตเป็น
แบบนี้เหตุและปัจจัยมันไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ทำอย่างไรก็ไม่รวย
ต่อให้ไปอธิษฐาน 500 วัด 1,000 ศาลเจ้า
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อได้สร้างบุญหรือเหตุให้ตรงแล้ว หลังจากนั้นก็จะใช้การอธิษฐานในสิ่งที่ตนเองต้องการกำหนดขึ้นมาเป็น “สัจจะวาจา” ที่
จะแสดงความตั้งใจแน่วแน่ในการประพฤติปฏิบัติตนตามที่ตนได้ให้คำมั่นสัญญาเอา
ไว้
โดยมีหลักอิงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาที่ตนเองมีความเชื่อมั่นอยู่เป็นการ
เสริมกำลังใจ
การอธิษฐานโดยอาศัยหลักและวิธีการแบบนี้นี่
แหละครับ จึงจะก่อกำลังในการแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้ผล
สามารถยกระดับภูมิธรรมของชีวิตให้สูงขึ้นและเห็นผลได้จริงจากการปฏิบัติตน
ตามแนวทางที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
นั่นจึงถึงซึ่งความหมายของ “การอธิษฐาน” โดยแท้จริง
0 comments:
Post a Comment