17.6.13

ฉันควรอธิษฐานอย่างไร ?

การอธิษฐาน  คือการพูดกับพระเยซู  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร  จะเป็นที่ไหน  และจะเมื่อไรก็ตาม
การอธิษฐานเป็นการติดต่อสำนักงานใหญ่โดยตรง  คล้าวกับวิทยุสื่อสาร  ซึ่งเราสามารถติดต่อได้ตลอดเวลา  การอธิษฐานเป็นการติดต่อกับหัวหน้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ โดยตรง  ทั้งคำแนะนำ ความช่วยเหลือ และการทรงนำมีพร้อมเสมอสำหรับคุณ
พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานและสัญญาว่าจะตอบคำอธิษฐานทุกอย่าง
บางครั้งแม้คำตอบของพระองค์จะเป็น "ไม่"  เพราะพระองค์ทรงทราบว่า อะไรดีที่สุดสำหรับเรา  พ่อแม่ที่ฉลาดจะไม่ให้ในสิ่งที่ลูกขอเสมอไป  บางครั้งคำตอบก็จะเป็น "คอยก่อน" เพราะพระองค์ทรงรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ  และบางครั้งคำตอบก็เป็น "ใช่" อย่างชัดเจน
 http://www.pendulumthai.com/pic_pray.jpg

ฉันควรอธิษฐานอย่างไร ?

โดยธรรมชาติแล้ว การอธิษฐานจะตามติดการอ่านพระคัมภีร์มา  จงพยายามหาที่เงียบสงบ  และถ้าเป็นไปได้ก็ให้อยู่ตามลำพังคนเดียว
จงระลึก  ว่าท่านกำลังเข้าเฝ้าผู้ใด  บางครั้งจะเป็นประโยชน์มากถ้าได้อ่านบทเพลงสรรเสริญหรือสดุดี  เช่น  สดุดี 95, 98, 100, 147 หรือ 150  จงมีความปีติยินดีที่ได้มาอยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์  พระองค์ปรารถนาให้คุณมาหาพระองค์ในวิถีทางนี้
จงสารภาพ  เราเข้ามาหาพระเจ้าเหมือนดังประชากรผู้ต้องการรับการอภัยโทษเสมอ  จงขอให้พระเจ้าสำแดงให้เห็นความบาปและความล้มเหลวของคุณ  วิงวอนพระองค์ขอทรงยกโทษให้และช่วยคุณให้เอาชนะให้ได้ในภายหน้า
จงขอบพระคุณ  ใช้เวลาสองถึงสามนาที  คิดถึงทุกสิ่งที่คุณมีด้วยความขอบพระคุณ  เช่น  การอภัยโทษบาปของคุณ  ความรักของพระองค์ที่มีต่อคุณ  สำหรับพระเยซูเจ้า  พระคัมภีร์  พระวิญญาณบริสุทธิ์  พี่น้องคริสเตียน  ครอบครัวของคุณ  สุขภาพและความสามาถของคุณ  คำอธิษฐานที่พระเจ้าทรงตอบแล้ว
อธิษฐานเผื่อคนอื่น  ให้หาสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ และเขียนรายชื่อบุคคลที่จะอธิษฐานเผื่อ  ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวและเพื่อนฝูงของคุณ  ผู้นำประเทศและในคริสตจักรของคุณ  คนที่ออกไปรับใช้พระเจ้าในต่างแดน  จงอธิษฐานเผื่อเรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อยในแต่ละวัน  ให้อธิษฐานแบบเฉพาะเจาะจง มิใช่ขอแบบเลื่อนลอยเช่นขอพระเจ้าโปรดอวยพระพร  จงอธิษฐานขณะอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวในทีวี
จงอธิษฐานเผื่อตัวเอง  จงอธิษฐานเผื่อชีวิตของท่านเองในทุก ๆ ด้าน  เช่น  วันข้างหน้า  ปัญหาต่าง ๆ ในหน้าที่ หรือความกลัว การเป็นพยานถึงพระเยซูที่บ้านและที่ทำงาน  น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตคุณ โดยพูดอย่างธรรมดาเหมือนคุยกับมิตรสหายผู้ใกล้ชิด  แต่ให้จำไว้ว่าคุณกำลังอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
จงอธิษฐานร่วมกับพี่น้องคริสเตียนคนอื่น  พระเยซูให้พระสัญญาพิเศษถึงการตอบคำอธิษฐาน  แม้จะมีเพียงสองหรือสามคนร่วมในกันอธิษฐานในพระนามของพระองค์  และจะเป็นการชักนำคุณให้เข้าใกล้ชิดกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวของพระเจ้า
จงอธิษฐานตลอดเวลา  สายว่างเสมอ และคุณสามารถพูดคุยกับพระองค์เมื่อไรก็ได้  ทั้งกลางวันและกลางคืน

การอธิษฐานคืออะไร

มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของชีวิต ที่หลายคนยังไม่ทราบว่า ในทุกคนนั้นมีอยู่ในตัวเองและมีพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้ทุกคนพบกับ สิ่งที่ปรารถนา สิ่งนั้นคือ การอธิษฐาน หลายคนอาจจะทราบ อาจจะยังไม่รู้ว่า

http://www.pendulumthai.com/pic_angel3.jpg
ที่แท้จริงนั้นการอธิษฐานนั้นคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไรถึงการอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผลได้โดยเร็วตามที่เราต้องการ
การอธิษฐานนั้น ที่เข้าใจกันแบบง่ายๆ ก็คือ เป็นการแสดงความตั้งใจหรือมุ่งมั่นปรารถนาทางจิตใจ ที่หวังจะให้เกิดผลสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการมุ่งหวังในสิ่งที่ยังมามาถึง เป็นเรื่องของอนาคต เป็นการร้องขอหรือความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ตนคาดหวัง หลายท่านผู้รู้บอกว่าถือว่าเป็นการล็อคเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิตอย่างหนึ่ง และมีปรากฏอยู่ในทุกๆ ศาสนา
เพราะเชื่อว่าการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายหรือผิดศีลธรรม ถ้าการอธิษฐานนั้นอยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี ที่ถูกต้อง
ดังในศาสนาคริสต์ การอธิษฐานนั้นถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญในชีวิตเป็นการสานสัมพันธ์และตีสนิท กับพระเจ้า คำว่า “ตีสนิท” ของคริสตชนนั้นถือเป็นเรื่องจริงจังที่ทุกคนต้องทำถือเป็นหน้าที่และเป้นการ บ่งบอกถึงการเป็นคริสตชนที่ดี
เพราะเป็นการแสดงถึงความเคารพและเชื่อฟัง ยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตและนำทางชีวิตในทุกเรื่อง (คนที่นับถือศาสนาอื่น ไม่เข้าใจคำนี้มักจะเอามาล้อเล่น ซึ่งเป็นการไม่สมควร)
ในศาสนาคริสต์ไม่ว่านิกายใดเชื่อกันว่า พระเจ้า ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและจะบันดาลและให้ได้ตามความต้องการตามที่มนุษย์ ที่อธิษฐานร้องขอตามความเชื่อที่ว่า
ถ้าขอแล้วจะได้ ถ้าหาแล้วจะพบ
ถ้าขอแล้วจะได้ หมายถึง ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องเพียรขอทุกสิ่งจากพระเจ้าเท่านั้น ด้วยกำลังของมนุษย์นั้นไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการได้ ทั้งหมด บางครั้งอุปสรรคและเรื่องที่ทำนั้นจะเกินกำลัง เกินอำนาจของมนุษย์ จึงต้องทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อให้สิ่งนั้นสำเร็จ

ถ้าหาแล้วจะพบ หมายถึง การเข้าหาพระเจ้าด้วยการปฏิบัติตนให้เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าทุกย่างก้าว ของชีวิต ทั้งกาย วาจา และใจ โดยยึดหลักคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งการเชื่อฟัง การดำเนินชีวิตที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมหรือไบเบิล ที่ถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้าโดยตรง
ที่พระเจ้าดลใจเหล่าผู้เผยวจนะ สาวก ผู้รับใช้ในศาสนาให้บันทึกขึ้นมาโดยตรง ถ้าเป็นศาสนาพุทธก็คือ พระไตรปิฎก หรือศาสนาอิสลามก็คือ พระคัมภีร์กุรอ่าน ที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาและหัวใจหลักในการนับถือศาสนาที่ถูกต้องที่สุด
มีเรื่องหนึ่งในคัมภีร์พระคริสตธรรมหรือ ไบเบิล ที่แสดงถึงการสัมฤทธิ์ผลในการอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เป็นเรื่องของดาวิดผู้ฆ่าโกลิอัท หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในเรื่องดาวิดผู้ฆ่ายักษ์ เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งในสมัยที่ยิวโบราณหรืออิสราเอลนั้นมีกษัตริย์ ปกครองชื่อ ซาอูล ซึ่งภายหลังไม่เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าด้วยความประพฤติบางอย่างที่ขัดต่อ น้ำพระทัยของพระเจ้า
ในช่วงปลายสมัยของกษัตริย์ซาอูลได้มีกองทัพ ของชาวฟีลิสเตีย ยกพลมาสู้กับชาวยิว ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ชาวฟีลิสเตียยึดเนินเขาด้านหนึ่ง ชาวอิสราเอลก็ยึดเนินเขาอีกด้านหนึ่ง ก็คงจะตั้งเผชิญหน้ากันหลายวันไม่มีใครออกมารบ ดูลาดเลากันไปมาจนในที่สุด ได้มีการตกลงที่จะส่งตัวแทนมาต่อสู้กัน
กองทัพฟีลิสเตียได้ส่งทหารออมาคนหนึ่งชื่อ ว่า โกลิอัทหรือโกไลแอธ ที่ต้องเรียกว่าเป็นยักษ์เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเขาสูงถึง 6 ศอกกับอีก 1 ฝ่ามือ ถ้าเทียบมาตราปัจจุบันน่าจะประมาณ3 เมตรเฉพาะเกราะของโกลิอัทก็หนักกว่า57 กิโลกรัมด้ามหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ปลายหอกทำด้วยเหล็กหนัก7 กิโลกรัม
เมื่อทหารยิวเห็นโกลิอัท ยืนตระหง่านอยู่ก็ไม่กล้าออกมารบ เพราะกลัวตายจนในที่สุด ดาวิดเด็กเลี้ยงแกะและคนดีดพิณของกษัตริย์ซาอูล ได้อาสาออกมารบ ซึ่งเมื่อกษัตริย์ซาอูลได้ยินดังนั้น จึงห้ามปรามเพราะเห็นว่า จะไปตายเสียเปล่าๆ
เพราะดาวิดนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกทั้งไม่มีความเชี่ยวชาญอะไรเลยในเรื่องของอาวุธและการทหาร แต่ดาวิดมีความเชื่อมั่นเหนือทุกคนในแผ่นดินยิวในขณะนั้น ดาวิดเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา และจะอวยพระพรต่อเขาเมื่อเจานั้นอธิษฐานร้องขอชัยชนะ ดาวิดได้กล่าวกับกษัตริย์ซาอูลที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า
“ข้าพระบาทดูแลแกะของบิดา เมื่อมีสิงโตหรือหมีมาคาบแกะไปจากฝูง ข้าพระบาทจะไล่ตามฟาดฟันช่วยแกะนั้นออกมาจากปากสิงโต หากมันหันมาเล่นงานข้าพระบาทก็จะกระชากขนของมัน ฟาดมัน และฆ่าเสีย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าทั้งสิงโตและหมีมาแล้ว
ชาวฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้จะ เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขามาสบประมาทกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระบาทจากเขี้ยวเล็บของสิงโตและหมีจะช่วย ข้าพระบาทจากมือชาวฟีลิสเตียผู้นี้”
(1 ซามูเอล 17:34-37)
เมื่อดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท เขาไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าพระเจ้าต้องช่วยเขาแน่นอน เขาพูดกับโกลิอัทว่า
“ท่านถือดาบ ถือหอก และหอกซัดมาสู้กับเรา ส่วนเราจะสู้กับท่านในพระนามพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอลซึ่งท่านลบหลู่ วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านแก่เรา เราจะฆ่าและตัดหัวท่าน
วันนี้เราจะเอาซากศพของกองทัพฟีลิสเตียให้ นกกาและสัตว์ป่ากิน แล้วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล คนทั้งปวงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรง ช่วยให้รอดด้วยดาบหรือหอก การศึกครั้งนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงมอบเจ้าทุกคนไว้ในมือของพวกเรา”
(1 ซามูเอล 17:45-47)
โกลิอัท ยักษ์ใหญ่แห่งฟีลิสเตีย เมื่อได้ยินเด็กเลี้ยงแกะพูดอย่างนั้นก็หัวเราะ และยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีกที่เห็นดาวิดเดินมาหาความตายพร้อมกับหินก้อน เล็กๆ 5 ก้อนและสลิงหรือเชือกหนังในมือ ที่เอวมีดาบด้ามเล็กๆ คาดเอวมา ในขณะที่เขานั้นเต็มยศทั้งเสื้อเกราะและอาวุธหนัก
แต่แล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานของดาวิดที่เต็มไปด้วยความเชื่อไม่มีเคลือบแคลงสงสัย แม้แต่น้อย เพราะดาวิดใช้หินเพียงก้อนเดียวใน 5 ก้อนเขวี้ยงไปโดนที่กลางหน้าผากของโกลิอัทจนเขาล้มคว่ำลงไป
แล้วดาวิดก็ยืนบนร่างเขา ดึงดาบออกจากฝักและตัดศีรษะของโกลิอัท ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารยิว ต่อมาดาวิดคนนี้แหละที่กลายเป็นกษัตริย์ดาวิดหรือเดวิด  กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของชนชาติยิวจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของดาวิดเป็นเรื่องที่ชาวคริสตชนรู้จักกันดีในเรื่องของการอธิษฐานและ การตอบของพระเจ้า
การอธิษฐานในทางศาสนาคริสต์จึงเปรียบเสมือน การไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้า เป็นเหมือนช่องทางพิเศษสำหรับผู้ที่ยึดมั่นในตัวพระองค์และอยากจะได้ในสิ่ง ที่ดีงาม ที่ต้องใช้การอธิษฐานเท่านั้นจึงจะได้รับ แต่ทว่า ในความเชื่อของคริสต์ พระเจ้าก็มีคำตอบในการให้ผลของการอธิษฐานที่ไม่เหมือนกัน
เพราะว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากัน และจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ตามเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาที่สมควรได้รับแล้ว เท่านั้น และในบางอย่างที่ไม่เหมาะสมพระเจ้าก็จะไม่ให้เพื่อไม่ให้มนุษย์นั้นต้องพบ กับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
ทั้งนี้การจะได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองได้ จนมีคำๆ หนึ่งที่เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า “แล้วแต่พระเจ้าเถอะ” หรือ” แล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้าเถิด”
ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จึงมีเชื่อมั่นและ ทราบว่า พระเจ้าของเขาเหล่านั้นจะตอบสนองการอธิษฐานได้ในสิ่งที่ตนเองร้องขอได้อย่าง แน่นอนและจะได้รับสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ร้องขอเสมอหากรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม
หากเป็นการอธิษฐานในแบบของพระพุทธศาสนาจะมี ความเชื่อในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” คือว่าด้วยเหตุและผลที่เป็นไปตามการกระทำเข้ามาเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัย สำคัญ ชาวพุทธศาสนาจะมีความเชื่อและความคุ้นเคยกับการอธิษฐานว่า
การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเมื่อได้ประกอบคุณ งามความดีต่างๆ ก่อนให้มากพอหรือมีการทำเหตุให้ตรงสมบูรณ์ พร้อมแล้วค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้ หากมีพลังบุญเป็นปัจจัยเสริมมากพอแรงอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตาม ความปรารถนาที่ตั้งใจไว้

ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามนั้น
ในศาสนาพุทธนั้น เชื่อว่าโชคชะตาชีวิตของคนทุกคนนั้น จะดีหรือเลว จะมั่งมีหรือจน จะเป็นทุกข์หรือสุข จะผ่านอุปสรรคในชีวิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใดทั้งสิ้น ไม่มีฟ้าลิขิตทั้งสิ้น
สิ่งที่จะกำหนดโชคชะตาชีวิตของคนนั้นคือ กรรมลิขิต มนุษย์เป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการกระทำที่มาจากกาย วาจา ใจ ที่รวมเรียกว่า กรรม และมีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครมีอำนาจมาเบี่ยงเบนผลลัพธ์ได้ ใครทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้ผลตามเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ใครทำชั่วแล้วได้ดี หรือทำดีแล้วได้ชั่วเป็นอันขาด
การอธิษฐานนั้นเป็นการสร้างพลังจิตให้เข้ม แข็ง เป็นการตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไป เป็นเข็มทิศของจิต หากแต่จะสำเร็จหรือไม่มีองค์ประกอบสำคัญๆ อยู่หนึ่งประการ คือ จิตในขณะที่กำลังอธิษฐานนั้นมีกำลังหรือไม่?
และองค์ประกอบสำคัญนี้ยังมีองค์ประกอบอื่น สนับสนุนอยู่อีกหนึ่งอย่าง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เคยเป็นผู้ประกอบกรรมที่สนับสนุนกับการอธิษฐานนี้หรือไม่ หากมีมากก็จะอธิษฐานให้สำเร็จได้โดยง่าย หากมีน้อยก็จะสำเร็จได้โดยยาก และหากไม่มีก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย (ซึ่งจะขออนุญาตอธิบายให้ทราบอย่างละเอียดในบทต่อไป โปรดอดใจไว้อยากให้ทำความเข้าในในเรื่องของการอธิษฐานอย่างถ่องแท้เสียก่อน)
การอธิษฐานนี้ บางท่านอาจจะเห็นว่ามันขัดแย้งกับกฎแห่งกรรม แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมเลยแม้แต่น้อย การอธิษฐานเปรียบได้ดั่งเพียงการจัดระเบียบใจจิตใจนี้เท่านั้นว่าจิตจะ น้อมนำไปทางไหน เมื่อจิตน้อมไปทางไหนเวรกรรมในทางนั้นก็จะตามมาสนองในแนวทางนั้น
สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการอธิษฐาน ก็เช่น การสวดมนต์ การไปทำบุญทำทาน การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานศาลกล่าว การนำของไปเซ่นไหว้บูชาต่อรูปเคารพ องค์เทพต่างๆ ฯลฯ ไปจนถึงการเชื่อมโยงถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองได้ให้ความเคารพบูชา โดยต้องยึดหลักปฏิบัติตามพิธีกรรมดังกล่าวที่ตนมีความเชื่ออยู่อย่างถูกต้อง แล้วจึงค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐาน ซึ่งเชื่อว่าผลของการอธิษฐานจะเป็นไปตามที่กรรมกำหนด

โปรดอย่าสับสนเป็นอันขาดว่า การอธิษฐานกับการไปบนบานนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งสองสิ่งนี้คนละเรื่อง คนละทางกัน การอธิษฐานเป็นเรื่องดีในชีวิตที่ควรทำ แต่การบนบานนั้นเป็นการไปติดสินบนที่ไม่ควรทำ
แต่การอธิษฐานในแบบที่กล่าวอ้างถึงสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ใดๆ นี้เพียงอย่างเดียวนี้ มีความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาว่าเป็นเพียงการ “เสริมสร้างและให้กำลังใจ” และ เป็นกลไกป้องกันตนเองทางจิตใจแบบหนึ่งคือ การที่คนเราได้พึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นการหาที่พึ่งทางใจ มีจุดประสงค์เพื่อลดความเครียด ความวิตกกังวลและคลายทุกข์ลงแต่ก็ยังไม่มีผลต่อการช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงใน ทางปฏิบัติโดยตรง
ดังนั้นการอธิษฐานที่แท้จริงและจะมีพลานุ ภาพมากกว่าก็คือ การที่ผู้ที่ได้อธิษฐานนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งและจิตมีความบริสุทธิ์ละเอียด มากพอ ที่จะทำให้เกิด “ปัญญา” และได้ใช้ “ปัญญา” วิเคราะห์พิจารณาถึงสาเหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่ทำให้ชีวิตของตนเองมี ทุกข์อยู่นั้นว่าเกิดมาจากสิ่งใดและต้องแก้ไขอย่างไร
ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้ ยังไม่ใช่ปัญญาทั้งหมด เพราะปัญญาคือ การตกผลึกของความรู้ เป็นความรู้ที่แท้จริงและนำไปใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งได้ เหมือนข้าวสารนั้นเป็นเพียงความรู้ แต่ยังไม่มีค่าอะไรหรือมีคุณค่ามากขึ้น ถ้ายังไม่ได้เอาไปหุงเป็นข้าวสวย หรือข้าวต้มนำมากินเพื่อบำรุงร่างกาย
จิตที่บริสุทธิ์และมีกำลังมากพอเป็นตัวแปร ที่จะทำความรู้นั้นให้เป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็จะเห็นความสว่างในการแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น รู้จักเหตุ ถ้าเหตุหรือการกระทำของเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องรู้จักวิธีปรับปรุงเหตุเพื่อให้ผลนั้นออกมาดี
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการที่จะรวยมีเงินทอง เรารู้ดีว่าเหตุที่จะทำให้เราร่ำรวยได้นั้นอยู่ที่ความขยันหมั่น เพียร ความอดทน ซื่อสัตย์มีน้ำใจเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น ความสามารถพิเศษ ทุนรอน สถานที่ประกอบการ ฯลฯ เหตุเหล่านี้ถ้ายังไม่เต็มที่ยังไม่พร้อม ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังไม่เต็มที่หรือสมบูรณ์เช่นกัน
ประเภทว่าอยากรวย แต่ไม่ทำงาน นอนดึกตื่นสายโดยไร้สาเหตุ อยากขายข้าวแกงแต่ทำกับข้าวไม่เป็น อยากเปิดร้านอินเตอร์เน็ตมีคนมาใช้บริการเยอะๆ เพื่อจะได้รวยเหมือนคนอื่น แต่ดันไปเปิดในแหล่งที่ไกลชุมชนหรือในที่ไม่มีคนเล่นอินเตอร์เน็ตเป็น แบบนี้เหตุและปัจจัยมันไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ทำอย่างไรก็ไม่รวย ต่อให้ไปอธิษฐาน 500 วัด 1,000 ศาลเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อได้สร้างบุญหรือเหตุให้ตรงแล้ว หลังจากนั้นก็จะใช้การอธิษฐานในสิ่งที่ตนเองต้องการกำหนดขึ้นมาเป็น “สัจจะวาจา” ที่ จะแสดงความตั้งใจแน่วแน่ในการประพฤติปฏิบัติตนตามที่ตนได้ให้คำมั่นสัญญาเอา ไว้ โดยมีหลักอิงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาที่ตนเองมีความเชื่อมั่นอยู่เป็นการ เสริมกำลังใจ
การอธิษฐานโดยอาศัยหลักและวิธีการแบบนี้นี่ แหละครับ จึงจะก่อกำลังในการแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้ผล สามารถยกระดับภูมิธรรมของชีวิตให้สูงขึ้นและเห็นผลได้จริงจากการปฏิบัติตน ตามแนวทางที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
นั่นจึงถึงซึ่งความหมายของ “การอธิษฐาน” โดยแท้จริง

การอธิษฐานคืออะไร

การอธิษฐานคืออะไร

pray
การอธิษฐาน คือ การพูดคุยกับพระเจ้าโดยคำพูดของเราเอง การอธิษฐานไม่ใช่การฝึกสมาธิ หรือการตั้งจิตปรารถนาให้เป็นไปตามความตั้งใจของเรา และการอธิษฐานก็ไม่ได้เป็นเพียงการทูลขอสิ่งต่าง ๆ จากพระเจ้าเท่านั้น แต่การอธิษฐานเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้า


การอธิษฐานเปรียบเสมือนลมหายใจ

เราต้องหายใจเข้าออกตลอดเวลาเพื่อจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ฉันใด
เราก็ต้องอธิษฐานอยู่ตลอดเวลาเพื่อเราจะมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าฉันนั้น
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน เราก็สามารถคุยกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ได้ทุกวินาที


จะอธิษฐานอย่างไร
1. สรรเสริญพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์เป็น
2. ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทำ
3. สารภาพความผิดบาปในแต่ละวันต่อพระเจ้า
4. ทูลขอพระเจ้าในความปรารถนาของคุณ
5. ทูลขอพระเจ้าเผื่อผู้อื่น


ารสรรเสริญ
เราสรรเสริญพระเจ้าเพราะ..พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่และสมควรจะสรรเสริญ พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว พระผู้สร้างจักรวาล โลก มนุษย์ และทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าแห่งความรัก ความสัตย์ซื่อ เมตตา และชอบธรรมดีพร้อม



การขอบคุณ
การขอบคุณต่างจากการสรรเสริญ เพราะการขอบคุณเน้นที่การแสดงความรู้สึกกตัญญูต่อพระเจ้าที่พระองค์กระทำ สิ่งต่าง ๆ เพื่อเรา เช่น พระองค์ไถ่เราจากความบาป พระองค์ดูแลชีวิตของเรา และปกป้องเรา พระองค์ยกโทษความบาปให้เราเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์และสารภาพความผิดนั้น พระองค์ตอบคำอธิษฐานที่เราทูลขอต่อพระองค์ อ่าน 1 เธสะโลนิกา 5:18



การสารภาพ
การสารภาพบาปที่แท้จริง คือ การกลับใจใหม่จากความบาปที่เราได้ทำ และเมื่อเราสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า พระองค์สัญญาจะยกโทษความผิดบาปทั้งสิ้นของเรา อ่าน 1ยอห์น 1:9



การทูลขอ
เพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจึงมีสิทธิที่จะขอสิ่งต่าง ๆ จากพระองค์ ทุกคำที่เราอธิษฐานทูลขอต่อพระองค์พระองค์จะตอบเราแน่ ซึ่งคำตอบของพระองค์อาจเป็น 1. ได้ 2. ไม่ได้ 3. รอก่อน (ถ้าคุณจดคำอธิษฐานของคุณลงในสมุดเอาไว้ ในที่สุดคุณจะพบว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานทุกคำของคุณจริง ๆ)




ท่าทีที่ถูกต้องในการอธิษฐาน
ศึกษาจากพระคำข้างล่างนี้
1. สดุดี 66:18 "ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ"


2. ยากอบ 4:3 "ท่านขอ และไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน"


3. ยาก อบ 1:6-7 "แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย


4. 1ยอห์น 5:14-15 " และนี่คือ ความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือ ถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า พระองค์ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่า เราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์



การทูลขอเผื่อผู้อื่น
พระ เยซูได้เป็นแบบอย่างให้แก่เราในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น ดังนั้นในชีวิตของเราจึงไม่ควรแต่อธิษฐานทูลขอเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เราควรอธิษฐานเผื่อผู้อื่นด้วยความห่วงใยด้วย เช่น
- อธิษฐานเผื่อคนในครอบครัว เพื่อน ๆ ที่จะรู้จักกับพระเจ้าจริง ๆ
- อธิษฐานเผื่อผู้ป่วย
- อธิษฐานเผื่อพี่เลี้ยงของคุณ
- อธิษฐานเผื่อผู้รับใช้พระเจ้า
- และอื่น ๆ


ที่มา หนังสือ BCL  อ.สิริกันยา บุณยเกียรติ

การอธิษฐานจิตคืออะไร

หลวงพ่อ เจ้าคะ เวลาทำบุญแล้วอธิษฐานจิต คำอธิษฐานจิตของเรา จะเป็นจริงในปัจจุบันได้อย่างไร แล้วมีหลักในการอธิษฐานจิตที่ถูกต้องอย่างไรเจ้าคะ ?
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ในการทำบุญทำทานแต่ละครั้งนั้น ไม่ว่าจะอธิษฐาน หรือว่าไม่อธิษฐานก็ตาม บุญย่อมส่งผลอย่างแน่นอน แต่จะมีความแตกต่างกันอย่างไรบ้าง เดี๋ยวค่อยมาดูกัน  
การอธิษฐานจิตคืออะไร
             คำว่า “ อธิษฐาน ” ที่พวกเราได้ยินกันมาตั้งแต่อ้อนแต่ออกก็คือ การตั้งผังสำเร็จขึ้นมาในใจ โดยอาศัยบุญที่ทำในแต่ละครั้งมาเป็นงบประมาณ ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสำเร็จขึ้นมา ยกตัวอย่าง เวลาที่เขาจะสร้างบ้านกันสักหลังหนึ่ง คนที่มีปัญญา มีความรู้ เขาก็จะเขียนแบบบ้านที่จะสร้าง ทำเป็นแบบพิมพ์เขียวขึ้นมาก่อน หลังจากนั้นก็แก้ไขแล้วแก้ไขอีกจนกระทั่งได้แบบที่ถูกใจ   คือรบกันในกระดาษให้เสร็จก่อนนั่นเอง
             เมื่อได้แบบบ้านเรียบร้อยแล้ว ก็จัดเตรียมงบประมาณ และไปหาช่างมา ถึงเวลาก็สร้างบ้านตามแบบที่ได้เตรียมเอาไว้ ทำอย่างนี้จะใช้เวลาในการก่อสร้างไม่มาก วัสดุที่ใช้ก็ไม่เสียหาย ไม่เปลืองงบประมาณ และสามารถกำหนดเวลาได้ชัดเจน
             ส่วนคนบางประเภท ไม่ได้เขียนแบบบ้านที่จะสร้างออกมาก่อน แค่นึกๆ อยู่ในใจก็ลงมือสร้างเลย ปรากฏว่ากว่าจะสร้างบ้างเสร็จ ต้องสร้างไป รื้อไป ปรับไป เปลี่ยนไป อยู่ตลอดเวลา ทำให้เสียเวลา แล้วก็เปลืองงบประมาณด้วย  
             เช่นเดียวกัน ในการประกอบคุณงามความดี ด้วยการทำทาน ด้วยการสงเคราะห์ ด้วยการรักษาศีล ด้วยการศึกษาธรรมะ หรือว่าจะนั่งสมาธิภาวนาให้ใจใสก็ตาม ไม่ว่าเราจะอธิษฐานตั้งเป็นผังสำเร็จขึ้นมาหรือไม่ เมื่อถึงเวลาแม้บุญจะส่งผลออกมาตามปกติ เหมือนอย่างกับการปลูกต้นไม้ เช่น เมื่อปลูกต้นกล้วยลงไป แล้วรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ถึงเวลาต้นกล้วยนั้นก็จะออกใบ ออกปลี แล้วก็กลายเป็นผลให้เรากินในที่สุด
             ในการประกอบคุณงามความดีต่างๆ ก็เหมือนกัน เมื่อเราปลูกพืชแห่งความดีลงไปแล้ว ถึงเวลาผลแห่งความดีก็จะออกมา แต่ว่าถ้าเราไม่ได้อธิษฐานตั้งผังเอาไว้ให้ดี พอบุญส่งผล บางทีบุญที่เกิดขึ้นอาจจะไม่ไปต่อบุญ แต่ไปต่อบาปเข้าก็ได้
             ยกตัวอย่าง เคยทำทานเอาไว้ดี ถึงคราวบุญส่งผล ทำให้กลายเป็นคนรวยขึ้นมา ซึ่งอาจจะรวยในชาตินี้ หรือว่าชาติไหนๆ ก็ตาม   แต่เนื่องจากไม่ได้วางแผนเอาไว้ว่าจะใช้เงินอย่างไร พอดีมีเพื่อนมาชวนไปดื่มเหล้า หรือมาชวนไปเล่นไพ่ เราก็ไปกับเขาทันที
เพราะฉะนั้น เงินที่ได้มาจากน้ำพักน้ำแรง ด้วยหยาดเหงื่อของเราเอง กลับกลายมาเป็นอุปกรณ์พาเราลงนรก  เพราะว่าเราใช้เงินไม่เป็น ส่วนใครที่ทำบุญแล้วอธิฐานจิต คือตั้งผังสำเร็จที่จะเอาบุญไปต่อบุญ คนๆ นั้นย่อมมีโอกาสที่จะเจริญก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้นไป  
การให้ผลของบุญในชาติปัจจุบัน
             ถ้าทำบุญถูกเนื้อนาบุญเต็มที่ เช่น ทำบุญกับพระอรหันต์ หรือว่าทำบุญกับพระภิกษุผู้ทรงศีลทรงธรรม บุญนั้นก็สามารถออกผลได้ในปัจจุบันชาตินี้ อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย แต่ว่าถ้าทำไม่ค่อยถูกเนื้อนาบุญ แล้วใจของเราเองก็ยังไม่ค่อยจะใสนัก หรือทำบุญไม่ค่อยจะถูกวิธีสักเท่าไร ผลบุญแม้จะออกมาในชาตินี้เหมือนกัน แต่ว่าไม่ค่อยจะเต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าที่ควร
             จนกระทั่งบางครั้งทำให้เรารู้สึกว่า ทำไมบุญไม่ส่งผลสักที ถ้าจะต้องไปรอผลบุญในชาติหน้าเสียแล้ว ซึ่งความจริงบุญส่งผลตั้งแต่วินาทีแรก ที่เราทำบุญนั่นแหละ เพียงแต่ว่าจะมากหรือน้อยเท่านั้น
             ยกตัวอย่าง การปลูกกล้วยอีกเหมือนกัน เราปลูกกล้วยวันนี้ สิ่งแรกที่ได้รับในขณะนั้นก็คือ   ได้ความชื่นใจ ว่าฉันปลูกกล้วยถูกต้องตามฤดูกาลแล้ว ครั้นรดน้ำ พรวนดิน ใส่ปุ๋ย ไปเรื่อยๆ ผลก็จะเกิดขึ้นมาตามลำดับ ตั้งแต่ได้ใบตองมาห่อขนม ได้ปลีกล้วยมาจิ้มน้ำพริก จนกระทั่งได้ผลกล้วยมากิน
             ยังไม่พอ ถึงเวลาแม้กล้วยต้นนี้จะตายไป ก็ยังมีหน่อใหม่แตกออกมาอีก และหน่อใหม่ที่แตกออกมานี้ ก็จะให้ผลเป็นทอดๆ ต่อไป
             การทำบุญของเราก็เหมือนกัน ทำบุญในชาตินี้ บุญก็ส่งผลตั้งแต่ชาตินี้เป็นต้นไป ไม่ว่าจะอธิษฐานหรือไม่ได้อธิษฐานก็ตาม  ยิ่งกว่านั้นผลบุญยังตามข้ามภพข้ามชาติต่อไปได้อีกด้วย  
             เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่สงสัยอยู่เลย ว่าทำบุญแล้วจะได้ผลในชาตินี้ไหม   ได้แน่นอนลูกเอ๊ย  แถมบุญยังตามไปชาติหน้าอีกด้วย คือตามไปจนกว่ากำลังบุญที่ทำไว้จะหมดนั่นแหละ
หลักในการอธิษฐาน
             หลักในการอธิษฐานง่ายๆ ตามที่ปู่ย่าตายายของเราท่านได้สั่งเอาไว้ ว่าจะอธิษฐานอะไรก็อธิษฐานไปเถอะ แต่ว่าต้องให้รัดกุมด้วย เช่น ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำดีแล้วนี้ ไม่ว่าบุญจากการทำทาน บุญจากการรักษาศีล บุญจากการทำภาวนาก็ตาม  
             ๑. ขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่บริสุทธิ์ด้วย กาย วาจา ใจ ยิ่งๆ ขึ้นไป  
             ๒. ตราบใดที่ข้าพเจ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏสงสารนี้ ไม่ว่าจะอีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม   ถ้าหากพระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองอยู่ที่ไหน ขอให้ข้าพเจ้าได้ไปเกิดที่นั่น  
             ๓. เมื่อได้เกิดในถิ่นที่พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าขยันที่จะทำทาน รักษาศีล ทำสมาธิเจริญภาวนาให้ยิ่งๆ ขึ้นไป
นอกจากนี้ถ้าเราศึกษาธรรมะบทไหนมา หรือว่าประสบอุปสรรคในชีวิตด้วยเรื่องอะไร ให้เอาสิ่งเหล่านั้นมาเป็นคำอธิษฐาน เพื่อป้องกันและแก้ไขตัวเองให้เรียบร้อย เช่น ทั้งๆ ที่เราตั้งใจทำความดีมาตลอดชีวิต แต่ว่ามีเพื่อนร่วมงานที่เกเรเหลือเกิน ข้างบ้านก็มีแต่พวกขี้เมา เพราะฉะนั้นเวลาทำบุญแต่ละครั้ง จึงอธิษฐานว่า
             “ สาธุ นับแต่วันนี้เป็นต้นไป คนภัยคนพาลอย่าได้เจอะได้เจออีกเลย เพื่อนบ้านพาลก็ไม่เอา เพื่อนร่วมงานพาลก็ไม่เอา แม้ที่สุดพี่น้องพาลก็อย่าได้เจอะเจอเลย”
             คือเมื่อประสบทุกข์ ก็เอาทุกข์นั้นแหละมาช่วยเตือนสติตัวเอง โดยการอธิษฐานตีกรอบล้อมคอกเอาไว้
             หรือบางท่านทำบุญมาดี ละโลกแล้วคงจะได้ไปเกิดในสวรรค์แน่ๆ แต่ว่าอยากจะเกิดในสวรรค์ชั้นที่เหมาะแก่การสร้างบารมี เช่นสวรรค์ชั้นดุสิต ที่พระโพธิสัตว์ท่านชอบไปอยู่กัน จึงอธิษฐานว่า
             “ สาธุ ด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำดีแล้วนี้ ถ้าละจากโลกมนุษย์เมื่อไหร่ อย่าต้องไปที่อื่นเลย ขอไปพักอยู่ที่ดุสิตบุรี ไปเป็นเทวดาอยู่ใกล้ๆ พระโพธิสัตว์ จะได้ไปฟังเทศจากท่านต่อได้”
             คำอธิษฐานเหล่านี้ จะมีเพิ่มขึ้นทับทวีไปเรื่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีอะไรมาล่วงล้ำกล้ำเกินเราได้ และสนับสนุนให้เราสร้างบุญบารมีได้อย่างเต็มที่
             อธิษฐานจึงจัดเป็นหนึ่งในบารมี ๑๐ ทัศ ซึ่งพระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ ก่อนจะมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ ท่านอธิษฐานกันมาอย่างเชี่ยวชาญทีเดียว
             เพราะฉะนั้น ทำบุญแล้วตั้งใจอธิษฐานและตั้งใจศึกษาเรื่องการอธิษฐานจากพระไตรปิฎกให้ดี การสร้างความดี การสร้างบารมีของเรา จะได้ไม่ไปสะดุดในภพเบื้องหน้า จนกระทั่งถึงวันลาจากโลกนี้ไปสู่พระนิพพาน

หลักในการอธิษฐาน : หลวงปู่ทวด

หลักในการอธิษฐาน : หลวงปู่ทวด





หลวงปู่ทวดสอนว่าให้กล่าวคำอุทิศอย่างเจาะจงลงไปเท่าที่เราจะนึกได้ จะเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย หรือเจ้าที่เจ้าทาง เจ้าป่าเจ้าเขา เจ้ากรรมนายเวร ฯลฯ
สุดท้ายให้กล่าวคำอธิษฐานบารมีว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าถึงซึ่งมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ นิพพานสมบัติ ในชาติปัจจุบันนี้เทอญ และขอบารมีแห่งพระคุณรัตนตรัย ครูบาอาจารย์ และเทพพรหมทุกพระองค์ ได้โปรดปกป้องคุ้มครองช่วยเหลือข้าพเจ้า ขอให้ข้าพเจ้าสมปรารถนา โดยสะดวกราบรื่น รวดเร็ว ฉับพลันทันที จงทุกประการเทอญ"

นี้เป็นหลักในการอธิษฐานโดยทั่วไป ถ้าจะปรารถนาไปเกิดในยุคพระศรีอารย์ก็สามารถปรารถนาได้ และขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ได้ฟังธรรมจากท่านด้วย อย่างนี้รับรองว่าเกิดทันแน่ และเกิดในที่ดี ๆ ด้วย อย่างน้อยก้เกิดเป็นมนุษย์ในยุคของท่าน อย่างดีก็เกิดเป็นเทวดาหรือพรหมไปเลย สบายกว่ามนุษย์เยอะ ส่วนการขอบารมีจากองค์หลวงปู่ทวด หรือครูบาอาจารย์เทพพรหมท่านอื่น ๆ ก็แค่สวดมนต์ระลึกถึงท่านท่านก็รับรู้แล้ว เพราะเบื้องบนท่านมี "ทิพยญาณ"
ทุกพระองค์ชัดเจนยิ่งกว่าดาวเทียมซะอีก แต่ขอให้ระลึกถึงท่านด้วยความเลื่อมใสอย่างจริงใจ ไม่ใช่เดือดร้อนทีก็นึกถึงที อย่างนี้ไม่ได้เรื่องหรอก ต้องทำการบูชาด้วยการสวดมนต์และถวายอามิสบูชาเป็นประจำ สำคัญที่สุดคือ การปฏิบัติบูชา

อย่างหลวงปู่ทวดนี่ สวดคาถาของท่าน และนั่งสมาธิถวายท่านอย่างน้อยวันละสิบนาทีทุกวัน(เอาคาถาของท่านไปใช้เป็น บทบริกรรมก็ได้) สมเด็จโตนี่สวดชินบัญชรให้ได้วันละหนึ่งจบ หรือคาถาสมเด็จ วันละสามจบ บทไหนก็ได้มีหลายบท เช่น พุทธะ พุทธา พุทเธ พุทโธ พุทธัง อรหัง พุทโธ อิติปิโส ภควา นะโมพุทธายะ หลวงพ่อ โอภาสีนี่สวดคาถาที่เรารู้จักกันดีว่า

อิติ สุคโต อรหัง พุทโธ นะโม พุทธายะ ปฐวีคงคา พระภุมมะเทวา ขมามิหัง ใช้ได้หลายทางและพระคาถาอีกหลาย ๆ บทที่นิยมใช้กันมาแต่โบราณกาล ก็มีความศักดิ์สิทธิ์มาก เช่น มงกุฎพระพุทธเจ้า อาวุธพระพุทธเจ้า จักแก้วพระพุทธเจ้า ข่ายเพชรพระพุทธเจ้า และ บารมีสามสิบทัศ เป็นต้น

ที่จะแนะนำให้ใช้อีกบทก็คือ "คาถานิพพานจุติ" ของท่านท้าวพญายมราชผู้เป็นใหญ่แห่งยมโลก ที่ว่า ปะโตเมตัง ประชีวินัง สุคโต จุติ จิตตะเมตะ นิพพานัง สุคโต จุติ ที่มีคนฟื้นจากความตายมาเล่าว่า ได้คาถาบทนี้มาจากท่านท้าวพญายมราช อันนี้เป็นความจริง เพราะได้ถามหลวงปู่ทวดแล้ว ไว้สวดเพื่อป้องกันภัยพิบัติได้ ถ้าดวงใครยังไม่ถึงฆาต ก็อาจแคล้วคลาดปลอดภัย รอดพ้นจากเงื้อมมือแห่งพญายมราชได้ ( หลวงปู่ทวดกล่าวถึงเรื่อง "ดวง" ว่า กรรมกำหนดดวง ดวงกำหนดคน คนกำหนดธรรมชาติ ธรรมชาติกำหนดโลก โลกกำหนดจักรวาล จักรวาลกำหนดโลกวิญญาณ โลกวิญญาณดำเนินตามกฎแห่งกรรม และรองรับดวงวิญญาณทุกดวง วนเวียนดังนี้ ไปตลอดกาลจนกว่าจะบรรลุถึงพระนิพพานอันเป็นบรมสุข)

อีกบทที่อยากแนะนำก็คือ คาถาของท่านท้าวเวสสุวัณ อิติปิโส ภควา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ มรณัง สุขัง อรหัง สุคโต นะโมพุทธายะ บทนี้ใช้กันผีกันคุณไสยกันอันตรายต่าง ๆ ได้

สุดท้ายคือ บทพญาธรรมิกราช ที่ว่า พุทโธ ดส ภควา ธัมโม โส ภควา สังโฆ โส ภควา ธรรมิกราชา ชัมพูทีเป กลียุคเข มนุสสานัง พหุยักขะ ปิสาเจวะ ปะลายันติ ไว้สวดเพื่อป้องกันโรคระบาด ใช้เสกน้ำมนต์ให้สัตว์และคนดื่มกินเพื่อป้องกันโรค แต่ถ้าเป็นมาแล้วต้องใช้ยาสมุนไพรกับคาถาปราบโรคโดยเฉพาะ ทั้งสามบทเหมาะกับยุคนี้สมัยนี้เป็นอย่างยิ่ง

และที่นับถือกันมากในวงของผู้ปฏิบัติธรรมก้คือ หลวงปู่ใหญ่ หรือ พระครูโลกเทพอุดร ที่ในตำราพระเวทของไทย และ คัมภีร์พุทธมนต์ ของ สมเด็จพระพนรัตน์ วัดป่าแก้ว พระอาจารย์ในสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ระบุไว้ว่า "ตำราสร้างพระภคัมบดีปิดตา หรือ ปิดทวาร และ พระประจำดวงจากไม้โพธิ์แกะนี้ เป็นของพระครูเทพผู้วิเศษ" ( โดยพระปิดตาหรือพระปิดทวารทั้งเก้านี้ เป็นสัญลักษณ์แห่งการเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์ และบุคคลใดได้ทำบุญ หรืออย่างน้อยได้กระทำการบูชาพระอรหันต์ที่กำลังเข้านิโรธสมาบัติ หรือเพิ่งออกจากนิโรธสมาบัติ จะอำนวยผลให้บังเกิดบุญและโชคลาภเป็นอย่างมาก และได้รับผลอย่างรวดเร็วเป็นพิเศษ อีกทั้งอำนาจแห่งการเข้านิโรธสมาบัติของพระอรหันต์ ยังผลให้เกิดนิรันตราย ความปลอดภัยอย่างสูงสุดอีกด้วย)

ซึ่งเรื่องของหลวงปู่ใหญ่ หรือพระครูเทพผู้วิเศษนี้ ตรงกับคติความเชื่อของชนชาวจีนโบราณที่นับถือกันว่ายังมีพระอรหันต์ผู้ทรง คุณวิเศษดำรงขันธ์อยู่มาแต่ครั้งพุทธกาลเป็นจำนวนมาก โดยชือคณะสิบแปดอรหันต์ หรือ "จับโป้ยหล่อหั้น" มีพระปิณโฑโล่ หรือ " พระปิณโฑลภารทวาชเถรอรหันต์" เป็นประธาน สถิตอยู่ ณ อมรโคยานทวีป ( เป็นอีกมิติหนึ่งที่ซ้อนขนาบอยู่กับโลกของเรา) พร้อมด้วยพระอรหันต์ที่เป็นศิษย์จำนวนถึงหกหมื่นรูป บางครั้งก็ไปพำนักอยู่ที่เขาคันธมาทน์ ณ ป่าหิมพานต์

พระอภิญญาหลังยุคพุทธกาล ส่วนใหญ่ก็เป็นศิษย์ของท่านทั้งนั้น เพราะท่านได้รับมอบหมายจากพระพุทธองค์ให้เจริญอิทธิบาทภาวนา ดำรงขันธ์อยู่เพือ่ดูแลค้ำจุนพระพุทธศาสนา จนกว่าจะครบห้าพันปี ( เรื่องเจริญอิทธิบาทภาวนานี้ เป็นวิสัยของผู้สำเร็จฌานสมาบัติชั้นสูงบรรลุซึงอภิญญา แม้แต่พระฤาษีที่มีฤทธิ์มาก ก็สามารถอยู่ได้หลายพันปี หรือเป็นหมื่นปี แต่ส่วนใหญ่ก็จะปล่อยไปตามธรรมชาติ) และมีพระพุทธะดำรัสตรัสพยากรณ์ไว้แล้วว่า

''พันปีแรก จะมากด้วยพระอรหันต์จตุปฏิสัมภิทาญาณ
พันปีที่สอง จะมากด้วยพระอรหันต์อภิญญาหก
พันปีที่สาม จะมากด้วยพระอรหันต์วิชชาสาม
พันปีที่สี่ จะมากด้วยพระอรหันต์สุกขวิปัสสโก
พันปีที่ห้า จะมากด้วยพระอนาคามี พระสกิทาคามี และพระโสดาบัน"

ซึ่งนี่ก็ใกล้เข้าสู่ยุคแห่งพระวิชชาสาม กำลังจะสิ้นสุดยุคแห่งพระอภิญญาแล้ว และต่อไปสติปัญญาคนจะทรามลง กิเลสคนจะมากขึ้น หลงใหลในวัตุมากขึ้น แก่งแย่งกันมากขึ้น ลุ่มหลงกันมากขึ้น ก็เกิดภัยพิบัติมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งก็เริ่มปรากฏแล้ว และจะหนักมากขึ้นเรื่อย ๆ)

ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช พระองค์ก็ได้ทรงพบกับหลวงปู่ฯ และมีพระราชศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ถึงกับทรงหมอบกราบแทบบาททั้งสองของหลวงปู่ ฯ พร้อมกับทรงจุมพิตที่บาททั้งสอง และตรัสว่า

"การได้เห็นซึ่งพระคุณเจ้า ซึ่งเป็นพระอรหันต์แต่
ครั้งพุทธกาล ทำให้หม่อมฉันได้ระลึกถึงซึ่งพระ
พุทธคุณเป็นอย่างยิ่ง เสียดายนักที่หม่อมฉันไม่มี
โอกาสได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แต่กระนั้น
การได้พบพระคุณเจ้า ก็ทำให้หัวใจของหม่อมฉัน
พองโตเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง"

และพระองค์ยังได้ทรงดำรัสถามพระเดชพระคุณหลวงปุ่ฯ ว่า "เพราะเหตุใด พระคุณท่านจึงดำรงค์ขันธ์อยู่จนถึงปัจจุบัน" ซึ่งหลวงปู่ฯ ได้ตอบไปว่า "การที่อาตมาภาพดำรงกายสังขารอยู่จนทุกวันนี้ ก็เนื่องด้วยได้รับพระพุทธบัญชาให้อยู่ดูแลศาสนาจนกว่าจะครบห้าพันปี" นอกจากที่พระเจ้าอโศกมหาราชจะได้ทรงพบกับหลวงปู่ฯ แล้ว พระองค์ยังเป็นศิษย์ของพระอุปคุตมหาเถรเจ้าอีกด้วย (พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระผู้เป็นประธานสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ 3 กับ พระโสณะพระอุตตระ ที่เป็นพระธรรมฑูตสายสุวรรณภูมิสมัย พระเจ้าอโศก ฯ ก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ และ บทยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก กับ บทพระอาการวัตตาสูตร ก็เกิดขึ้นโดยเหล่าพระอรหันต์จตุปฏิสัมภิทาญาณในสมัยนั้น ร่วมกันร้อยกรองขึ้นตามพุทธบัญชา เพื่อเกื้อกูลแก่เวไนยสัตว์มิให้พลาดไปสู่อบายภูมิ และตกทอดมาสู่เมืองไทยครั้งสมัยทวารวดียุคสุวรรณภูมิ ใช้สวดเพื่อสืบชะตาบ้านเมือง สืบอายุ กลับชะตาร้ายให้เป็นดี แก้สรรพเคราะห์ และสมปรารถนาทั้งปวง ซึ่งนิยมสวดมากครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เปิดกรุได้ที่เมืองสวรรคโลก)
ซึงปัจจุบันนี้ท่านพระอุปคุตก็ยังดำรงค์ขันธ์อยุ่ เพราะท่านก็เป็นศิษย์ของหลวงปู่ใหญ่ด้วยเช่นกัน

ศิษย์ของหวงปู่ฯ มีทั้งพระไทย พระจีน พระธิเบต พระพม่า พระมอญ พระลาว พระศรีลังกา พระอินเดีย ฯลฯ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดก็คือ ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ หรือ ท่านพระโพธิธรรม ปรมาจารย์แห่งลัทธิเซน ถ้าประเทศไทยในปัจจุบันก็มี

หลวงปู่มันฯ พระบูรพาจารย์แห่งสายกรรมฐาน
หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา
หลวงพ่อโอภาสี อาศรมบางมด
หลวงปู่สี วัดถ้ำเขาบุนนาค
หลวงปู่หมุน วัดบ้านจาน
หลวงปู่กอง วัดสระมณฑล
หลวงพ่อฤาษีฯ วัดท่าซุง
หลวงพ่อจรัญ ฯ วัดอัมพวัน ฯลฯ

(ท่านปรมาจารย์ตั๊กม้อ ปัจจุบันนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่ คอยช่วยหลวงปู่ฯ ดูแลศาสนาในจีนและยี่ปุ่น เหมือนพระอุปคุตที่ช่วยหลวงปู่ฯ ดูแลศาสนาในลาว เขมร พม่า และไทย ) ซึ่งลักษณะแห่งรูปขันธ์ของพระเดชพระคุณหลวงปู่ ฯ จริง ๆ นั้น ในคัมภีร์อโศกาวทานระบุว่า...

"มีกายดุจพระปัจเจกพุทธเจ้า ผมยาวเลยบ่า ผิว
หนังย่นชราแต่ผ่องใส เล็บมือยาว หนวดเครา
ยาวดุจฤาษี รูปร่างสูงใหญ่ ใบหูกับหนังทั้งสอง
หย่อนยานมาก ยามเหาะเหินประดุจพญาหงส์
ยามก้าวย่างดุจพญาราชสีห์ ยามเปล่งวาจา พลัง
เสียงมีตบะอำนาจมาก แม้พระเจ้าอโศก ฯ เอง
ยังไม่กล้าทัดทาน จีวรที่ครองก็เก่าคร่ำคร่า มีสีกรักเข้ม"

พระในสายของหลวงปู่ ฯ จะเป็นพระอภิญญาล้วน ๆ เนื่องจากท่านเป็นผู้นำสายอภิญญาในยุค "พันปีที่สองจะมากด้วยพระอภิญญา" นั่นเอง ศิษย์ของท่านมีทั้งนอกดงในดงเรียกว่า "คณะพระโลกอุดร" แปลว่า พระเหนือโลก ถ้าเป็นพระนอกดง จะแสดงฤทธิ์มากไม่ได้ เพระจะทำให้คนติดฤทธิ์ และศิษย์ของหลวงปู่ฯ ก็มีอยู่หลายระดับ แต่ถ้าเป็นพระในดงศิษย์ของหลวงปู่ ฯ จะมีอภิญญาสูงมาก เช่น

1. หลวงปู่อิเกสาโร (หลวงปู่เดินหน) แห่งเทือกเขาตะนาวศรี

2. หลวงพ่อโพรงโพธิ์ อาจารย์ของ หลวงปู่ศุข วัดมะขามเฒ่า
- หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน
- หลวงปุ่แสง วัดมณีชลขันธ์
- หลวงปู่เชย วัดราษฎร์บำรุง

3. หลวงพ่อพระอุปคุต อาจารย์ของ หลวงปู่คำคะนึง
วัดถ้ำคุหาสวรรค์ อ. ดขงเจียม จ.อุบล ฯ
- หลวงปู่พรหม จิรปุญโญ วัดประสิทธิธรรม อุดรธานี
- ครูบาขาวปี วัดพระพุทธบาทผาหนาม จ. ลำพูน
- หลวงปู่บุดดา ถาวโร
- หลวงพ่ออุตตมะ ท่านพ่อลี วัดอโศการาม

4. หลวงปุ่เเจ้งฌานแห่งเขาใหญ่ ดงพยาเย็น

5. หลวงพ่อดำในดง ฯลฯ

คาถาที่ถ่ายทอดมีมากมายหลายบท (เพราะคาถาเป็นคู่มือในการฝึกอภิญญาเบื้องต้น เป็นอุบายในการฝึกสมาธินั่นเอง) แต่ที่นิยมกันมากก็คือ "บทมงกุฎพระพุทธเจ้า" ที่ใช้บทนี้เพราะท่านมาสั่งอาตมาเอง และเคยพาอาตมาไปดูแผ่นศิลาทองคำจารึกพระคาถาบทนี้ ที่ทางเข้าพระทุสสเจดีย์บนพรหมโลกชั้นอกนิฏปัยจสุทธาวาส ซึ่งมีความศักดิ์สิทธิ์มาก บทที่ท่านพระอาจารย์ชาญนรงค์ ศิริสมบัติ หรือ ท่านอภิชิโตภิกขุ ศิษย์ของหลวงตาดำในดงรูปหนึ่งนำมาถ่ายทอดเพื่อใช้รักษาโรคก็คือ สมุหะคัมภีรัง อะโจระภะยัง อะเสสะโต โส ภควา พุทโธ หยุด ธัมโม หยุด สังโฆ หยุด โรคภัยทั้งหลายจงหยุด หยุดด้วย
นะโมพุทธายะ

หรือหากใครอยากพบท่าน ก็สวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎกบ่อย ๆ แล้วอธิษฐานเอา หรือจะสวดบทพระอาการวัตตาสูตก็ดี มีอานุภาพและอานิสงค์สูงมาก เวลาสวดถ้าสมาธิดี ๆ จะเห็นรังสีทองคำสว่างจ้าพุ่งลงมาจากเบืองบน เป็นกระแสบารมีของพระรัตนตรัยและของเบื้องบนตั้งแต่พระนิพพานและพรหมโลกชั้น สุทธาวาสทั้งห้า ลงมาคลุมทั่วบริเวณที่เราสวดอยู่