17.6.13

ฉันควรอธิษฐานอย่างไร ?

การอธิษฐาน  คือการพูดกับพระเยซู  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร  จะเป็นที่ไหน  และจะเมื่อไรก็ตาม
การอธิษฐานเป็นการติดต่อสำนักงานใหญ่โดยตรง  คล้าวกับวิทยุสื่อสาร  ซึ่งเราสามารถติดต่อได้ตลอดเวลา  การอธิษฐานเป็นการติดต่อกับหัวหน้าของเรา คือพระเยซูคริสต์ โดยตรง  ทั้งคำแนะนำ ความช่วยเหลือ และการทรงนำมีพร้อมเสมอสำหรับคุณ
พระเยซูทรงสอนให้เราอธิษฐานและสัญญาว่าจะตอบคำอธิษฐานทุกอย่าง
บางครั้งแม้คำตอบของพระองค์จะเป็น "ไม่"  เพราะพระองค์ทรงทราบว่า อะไรดีที่สุดสำหรับเรา  พ่อแม่ที่ฉลาดจะไม่ให้ในสิ่งที่ลูกขอเสมอไป  บางครั้งคำตอบก็จะเป็น "คอยก่อน" เพราะพระองค์ทรงรู้ว่ายังไม่ถึงเวลาที่พอเหมาะพอเจาะ  และบางครั้งคำตอบก็เป็น "ใช่" อย่างชัดเจน
 http://www.pendulumthai.com/pic_pray.jpg

ฉันควรอธิษฐานอย่างไร ?

โดยธรรมชาติแล้ว การอธิษฐานจะตามติดการอ่านพระคัมภีร์มา  จงพยายามหาที่เงียบสงบ  และถ้าเป็นไปได้ก็ให้อยู่ตามลำพังคนเดียว
จงระลึก  ว่าท่านกำลังเข้าเฝ้าผู้ใด  บางครั้งจะเป็นประโยชน์มากถ้าได้อ่านบทเพลงสรรเสริญหรือสดุดี  เช่น  สดุดี 95, 98, 100, 147 หรือ 150  จงมีความปีติยินดีที่ได้มาอยู่ต่อพระพักตร์ของพระองค์  พระองค์ปรารถนาให้คุณมาหาพระองค์ในวิถีทางนี้
จงสารภาพ  เราเข้ามาหาพระเจ้าเหมือนดังประชากรผู้ต้องการรับการอภัยโทษเสมอ  จงขอให้พระเจ้าสำแดงให้เห็นความบาปและความล้มเหลวของคุณ  วิงวอนพระองค์ขอทรงยกโทษให้และช่วยคุณให้เอาชนะให้ได้ในภายหน้า
จงขอบพระคุณ  ใช้เวลาสองถึงสามนาที  คิดถึงทุกสิ่งที่คุณมีด้วยความขอบพระคุณ  เช่น  การอภัยโทษบาปของคุณ  ความรักของพระองค์ที่มีต่อคุณ  สำหรับพระเยซูเจ้า  พระคัมภีร์  พระวิญญาณบริสุทธิ์  พี่น้องคริสเตียน  ครอบครัวของคุณ  สุขภาพและความสามาถของคุณ  คำอธิษฐานที่พระเจ้าทรงตอบแล้ว
อธิษฐานเผื่อคนอื่น  ให้หาสมุดบันทึกเล่มเล็ก ๆ และเขียนรายชื่อบุคคลที่จะอธิษฐานเผื่อ  ไม่ว่าจะเป็น ครอบครัวและเพื่อนฝูงของคุณ  ผู้นำประเทศและในคริสตจักรของคุณ  คนที่ออกไปรับใช้พระเจ้าในต่างแดน  จงอธิษฐานเผื่อเรื่องนั้นนิด เรื่องนี้หน่อยในแต่ละวัน  ให้อธิษฐานแบบเฉพาะเจาะจง มิใช่ขอแบบเลื่อนลอยเช่นขอพระเจ้าโปรดอวยพระพร  จงอธิษฐานขณะอ่านหนังสือพิมพ์หรือดูข่าวในทีวี
จงอธิษฐานเผื่อตัวเอง  จงอธิษฐานเผื่อชีวิตของท่านเองในทุก ๆ ด้าน  เช่น  วันข้างหน้า  ปัญหาต่าง ๆ ในหน้าที่ หรือความกลัว การเป็นพยานถึงพระเยซูที่บ้านและที่ทำงาน  น้ำพระทัยของพระเจ้าที่มีต่อชีวิตคุณ โดยพูดอย่างธรรมดาเหมือนคุยกับมิตรสหายผู้ใกล้ชิด  แต่ให้จำไว้ว่าคุณกำลังอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่นั่นเอง
จงอธิษฐานร่วมกับพี่น้องคริสเตียนคนอื่น  พระเยซูให้พระสัญญาพิเศษถึงการตอบคำอธิษฐาน  แม้จะมีเพียงสองหรือสามคนร่วมในกันอธิษฐานในพระนามของพระองค์  และจะเป็นการชักนำคุณให้เข้าใกล้ชิดกับสมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวของพระเจ้า
จงอธิษฐานตลอดเวลา  สายว่างเสมอ และคุณสามารถพูดคุยกับพระองค์เมื่อไรก็ได้  ทั้งกลางวันและกลางคืน

การอธิษฐานคืออะไร

มหัศจรรย์สิ่งหนึ่งของชีวิต ที่หลายคนยังไม่ทราบว่า ในทุกคนนั้นมีอยู่ในตัวเองและมีพลานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้ทุกคนพบกับ สิ่งที่ปรารถนา สิ่งนั้นคือ การอธิษฐาน หลายคนอาจจะทราบ อาจจะยังไม่รู้ว่า

http://www.pendulumthai.com/pic_angel3.jpg
ที่แท้จริงนั้นการอธิษฐานนั้นคืออะไร แล้วต้องทำอย่างไรถึงการอธิษฐานนั้นจะสัมฤทธิ์ผลได้โดยเร็วตามที่เราต้องการ
การอธิษฐานนั้น ที่เข้าใจกันแบบง่ายๆ ก็คือ เป็นการแสดงความตั้งใจหรือมุ่งมั่นปรารถนาทางจิตใจ ที่หวังจะให้เกิดผลสำเร็จอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นมาอย่างเป็นรูปธรรม เป็นการมุ่งหวังในสิ่งที่ยังมามาถึง เป็นเรื่องของอนาคต เป็นการร้องขอหรือความตั้งใจที่จะทำในสิ่งที่ตนคาดหวัง หลายท่านผู้รู้บอกว่าถือว่าเป็นการล็อคเป้าหมายอย่างหนึ่งในชีวิตอย่างหนึ่ง และมีปรากฏอยู่ในทุกๆ ศาสนา
เพราะเชื่อว่าการอธิษฐานนั้นเป็นสิ่งที่ดี ไม่ได้เป็นเรื่องที่เสียหายหรือผิดศีลธรรม ถ้าการอธิษฐานนั้นอยู่ในทำนองคลองธรรมที่ดี ที่ถูกต้อง
ดังในศาสนาคริสต์ การอธิษฐานนั้นถือว่าเป็นหน้าที่สำคัญในชีวิตเป็นการสานสัมพันธ์และตีสนิท กับพระเจ้า คำว่า “ตีสนิท” ของคริสตชนนั้นถือเป็นเรื่องจริงจังที่ทุกคนต้องทำถือเป็นหน้าที่และเป้นการ บ่งบอกถึงการเป็นคริสตชนที่ดี
เพราะเป็นการแสดงถึงความเคารพและเชื่อฟัง ยอมให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่งในชีวิตและนำทางชีวิตในทุกเรื่อง (คนที่นับถือศาสนาอื่น ไม่เข้าใจคำนี้มักจะเอามาล้อเล่น ซึ่งเป็นการไม่สมควร)
ในศาสนาคริสต์ไม่ว่านิกายใดเชื่อกันว่า พระเจ้า ทรงเป็นผู้สร้างทุกสรรพสิ่งและจะบันดาลและให้ได้ตามความต้องการตามที่มนุษย์ ที่อธิษฐานร้องขอตามความเชื่อที่ว่า
ถ้าขอแล้วจะได้ ถ้าหาแล้วจะพบ
ถ้าขอแล้วจะได้ หมายถึง ผู้ที่เชื่อในพระเจ้าต้องเพียรขอทุกสิ่งจากพระเจ้าเท่านั้น ด้วยกำลังของมนุษย์นั้นไม่มีอำนาจเพียงพอที่จะทำทุกสิ่งตามที่ตนต้องการได้ ทั้งหมด บางครั้งอุปสรรคและเรื่องที่ทำนั้นจะเกินกำลัง เกินอำนาจของมนุษย์ จึงต้องทูลขอต่อพระเจ้าเพื่อให้สิ่งนั้นสำเร็จ

ถ้าหาแล้วจะพบ หมายถึง การเข้าหาพระเจ้าด้วยการปฏิบัติตนให้เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าทุกย่างก้าว ของชีวิต ทั้งกาย วาจา และใจ โดยยึดหลักคำสอนและแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องทั้งการเชื่อฟัง การดำเนินชีวิตที่ปรากฏอยู่ในพระคริสตธรรมหรือไบเบิล ที่ถือว่ามาจากพระวจนะหรือคำพูดของพระเจ้าโดยตรง
ที่พระเจ้าดลใจเหล่าผู้เผยวจนะ สาวก ผู้รับใช้ในศาสนาให้บันทึกขึ้นมาโดยตรง ถ้าเป็นศาสนาพุทธก็คือ พระไตรปิฎก หรือศาสนาอิสลามก็คือ พระคัมภีร์กุรอ่าน ที่ถือว่าเป็นคัมภีร์ทางศาสนาและหัวใจหลักในการนับถือศาสนาที่ถูกต้องที่สุด
มีเรื่องหนึ่งในคัมภีร์พระคริสตธรรมหรือ ไบเบิล ที่แสดงถึงการสัมฤทธิ์ผลในการอธิษฐานทูลขอจากพระเจ้า เป็นเรื่องของดาวิดผู้ฆ่าโกลิอัท หรือที่คนไทยรู้จักกันดีในเรื่องดาวิดผู้ฆ่ายักษ์ เรื่องมีอยู่ว่าครั้งหนึ่งในสมัยที่ยิวโบราณหรืออิสราเอลนั้นมีกษัตริย์ ปกครองชื่อ ซาอูล ซึ่งภายหลังไม่เป็นที่พึงพอใจของพระเจ้าด้วยความประพฤติบางอย่างที่ขัดต่อ น้ำพระทัยของพระเจ้า
ในช่วงปลายสมัยของกษัตริย์ซาอูลได้มีกองทัพ ของชาวฟีลิสเตีย ยกพลมาสู้กับชาวยิว ทั้งสองฝ่ายเผชิญหน้ากัน ชาวฟีลิสเตียยึดเนินเขาด้านหนึ่ง ชาวอิสราเอลก็ยึดเนินเขาอีกด้านหนึ่ง ก็คงจะตั้งเผชิญหน้ากันหลายวันไม่มีใครออกมารบ ดูลาดเลากันไปมาจนในที่สุด ได้มีการตกลงที่จะส่งตัวแทนมาต่อสู้กัน
กองทัพฟีลิสเตียได้ส่งทหารออมาคนหนึ่งชื่อ ว่า โกลิอัทหรือโกไลแอธ ที่ต้องเรียกว่าเป็นยักษ์เพราะในพระคัมภีร์ไบเบิลบอกว่าเขาสูงถึง 6 ศอกกับอีก 1 ฝ่ามือ ถ้าเทียบมาตราปัจจุบันน่าจะประมาณ3 เมตรเฉพาะเกราะของโกลิอัทก็หนักกว่า57 กิโลกรัมด้ามหอกเหมือนไม้กระพั่นทอผ้า ปลายหอกทำด้วยเหล็กหนัก7 กิโลกรัม
เมื่อทหารยิวเห็นโกลิอัท ยืนตระหง่านอยู่ก็ไม่กล้าออกมารบ เพราะกลัวตายจนในที่สุด ดาวิดเด็กเลี้ยงแกะและคนดีดพิณของกษัตริย์ซาอูล ได้อาสาออกมารบ ซึ่งเมื่อกษัตริย์ซาอูลได้ยินดังนั้น จึงห้ามปรามเพราะเห็นว่า จะไปตายเสียเปล่าๆ
เพราะดาวิดนั้นเป็นเด็กตัวเล็กๆ อีกทั้งไม่มีความเชี่ยวชาญอะไรเลยในเรื่องของอาวุธและการทหาร แต่ดาวิดมีความเชื่อมั่นเหนือทุกคนในแผ่นดินยิวในขณะนั้น ดาวิดเชื่อว่าพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา และจะอวยพระพรต่อเขาเมื่อเจานั้นอธิษฐานร้องขอชัยชนะ ดาวิดได้กล่าวกับกษัตริย์ซาอูลที่ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิลว่า
“ข้าพระบาทดูแลแกะของบิดา เมื่อมีสิงโตหรือหมีมาคาบแกะไปจากฝูง ข้าพระบาทจะไล่ตามฟาดฟันช่วยแกะนั้นออกมาจากปากสิงโต หากมันหันมาเล่นงานข้าพระบาทก็จะกระชากขนของมัน ฟาดมัน และฆ่าเสีย ผู้รับใช้ของฝ่าพระบาทได้ฆ่าทั้งสิงโตและหมีมาแล้ว
ชาวฟีลิสเตียผู้ไม่ได้เข้าสุหนัตคนนี้จะ เป็นเหมือนสัตว์เหล่านั้น เพราะเขามาสบประมาทกองทัพของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงช่วยข้าพระบาทจากเขี้ยวเล็บของสิงโตและหมีจะช่วย ข้าพระบาทจากมือชาวฟีลิสเตียผู้นี้”
(1 ซามูเอล 17:34-37)
เมื่อดาวิดออกไปสู้กับโกลิอัท เขาไม่มีความกลัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าพระเจ้าต้องช่วยเขาแน่นอน เขาพูดกับโกลิอัทว่า
“ท่านถือดาบ ถือหอก และหอกซัดมาสู้กับเรา ส่วนเราจะสู้กับท่านในพระนามพระยาห์เวห์ผู้ทรงฤทธิ์ พระเจ้าของกองทัพอิสราเอลซึ่งท่านลบหลู่ วันนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจะทรงมอบท่านแก่เรา เราจะฆ่าและตัดหัวท่าน
วันนี้เราจะเอาซากศพของกองทัพฟีลิสเตียให้ นกกาและสัตว์ป่ากิน แล้วทั้งโลกจะได้รู้ว่ามีพระเจ้าในอิสราเอล คนทั้งปวงที่ชุมนุมกันอยู่ที่นี่จะได้รู้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรง ช่วยให้รอดด้วยดาบหรือหอก การศึกครั้งนี้เป็นขององค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงมอบเจ้าทุกคนไว้ในมือของพวกเรา”
(1 ซามูเอล 17:45-47)
โกลิอัท ยักษ์ใหญ่แห่งฟีลิสเตีย เมื่อได้ยินเด็กเลี้ยงแกะพูดอย่างนั้นก็หัวเราะ และยิ่งหัวเราะมากขึ้นไปอีกที่เห็นดาวิดเดินมาหาความตายพร้อมกับหินก้อน เล็กๆ 5 ก้อนและสลิงหรือเชือกหนังในมือ ที่เอวมีดาบด้ามเล็กๆ คาดเอวมา ในขณะที่เขานั้นเต็มยศทั้งเสื้อเกราะและอาวุธหนัก
แต่แล้วก็เกิดเหตุอัศจรรย์ขึ้น พระเจ้าได้ตอบคำอธิษฐานของดาวิดที่เต็มไปด้วยความเชื่อไม่มีเคลือบแคลงสงสัย แม้แต่น้อย เพราะดาวิดใช้หินเพียงก้อนเดียวใน 5 ก้อนเขวี้ยงไปโดนที่กลางหน้าผากของโกลิอัทจนเขาล้มคว่ำลงไป
แล้วดาวิดก็ยืนบนร่างเขา ดึงดาบออกจากฝักและตัดศีรษะของโกลิอัท ท่ามกลางเสียงโห่ร้องของทหารยิว ต่อมาดาวิดคนนี้แหละที่กลายเป็นกษัตริย์ดาวิดหรือเดวิด  กษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของชนชาติยิวจนถึงทุกวันนี้ เรื่องของดาวิดเป็นเรื่องที่ชาวคริสตชนรู้จักกันดีในเรื่องของการอธิษฐานและ การตอบของพระเจ้า
การอธิษฐานในทางศาสนาคริสต์จึงเปรียบเสมือน การไปขอเข้าเฝ้าพระเจ้า เป็นเหมือนช่องทางพิเศษสำหรับผู้ที่ยึดมั่นในตัวพระองค์และอยากจะได้ในสิ่ง ที่ดีงาม ที่ต้องใช้การอธิษฐานเท่านั้นจึงจะได้รับ แต่ทว่า ในความเชื่อของคริสต์ พระเจ้าก็มีคำตอบในการให้ผลของการอธิษฐานที่ไม่เหมือนกัน
เพราะว่าพระเจ้ารักมนุษย์ทุกคนเท่ากัน และจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้ได้ตามเวลาเมื่อถึงกำหนดเวลาที่สมควรได้รับแล้ว เท่านั้น และในบางอย่างที่ไม่เหมาะสมพระเจ้าก็จะไม่ให้เพื่อไม่ให้มนุษย์นั้นต้องพบ กับความยากลำบากในการดำเนินชีวิต
ทั้งนี้การจะได้หรือไม่ได้นั้น ขึ้นอยู่กับพระเจ้าไม่ใช่มนุษย์กำหนดขึ้นมาเองได้ จนมีคำๆ หนึ่งที่เชื่อว่าทุกคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่า “แล้วแต่พระเจ้าเถอะ” หรือ” แล้วแต่น้ำพระทัยของพระเจ้าเถิด”
ผู้ที่นับถือศาสนาคริสต์จึงมีเชื่อมั่นและ ทราบว่า พระเจ้าของเขาเหล่านั้นจะตอบสนองการอธิษฐานได้ในสิ่งที่ตนเองร้องขอได้อย่าง แน่นอนและจะได้รับสิ่งที่ดีกว่าสิ่งที่ร้องขอเสมอหากรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม
หากเป็นการอธิษฐานในแบบของพระพุทธศาสนาจะมี ความเชื่อในเรื่อง “กฎแห่งกรรม” คือว่าด้วยเหตุและผลที่เป็นไปตามการกระทำเข้ามาเป็นส่วนประกอบเป็นปัจจัย สำคัญ ชาวพุทธศาสนาจะมีความเชื่อและความคุ้นเคยกับการอธิษฐานว่า
การอธิษฐานจะได้ผลก็ต่อเมื่อได้ประกอบคุณ งามความดีต่างๆ ก่อนให้มากพอหรือมีการทำเหตุให้ตรงสมบูรณ์ พร้อมแล้วค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐานในสิ่งที่ตั้งความปรารถนาไว้ หากมีพลังบุญเป็นปัจจัยเสริมมากพอแรงอธิษฐานก็จะส่งให้เกิดผลสัมฤทธิ์ตาม ความปรารถนาที่ตั้งใจไว้

ซึ่งเมื่อเหตุนั้นตรงและสมบูรณ์ ปัจจัยสมบูรณ์ ผลที่ออกมาจะสมบูรณ์ตามนั้น
ในศาสนาพุทธนั้น เชื่อว่าโชคชะตาชีวิตของคนทุกคนนั้น จะดีหรือเลว จะมั่งมีหรือจน จะเป็นทุกข์หรือสุข จะผ่านอุปสรรคในชีวิตนั้นไม่ได้มาจากพระเจ้า เทพเจ้า ดวงดาวหรืออำนาจอื่นใดทั้งสิ้น ไม่มีฟ้าลิขิตทั้งสิ้น
สิ่งที่จะกำหนดโชคชะตาชีวิตของคนนั้นคือ กรรมลิขิต มนุษย์เป็นผู้กำหนดโชคชะตาชีวิตของตัวเองด้วยการกระทำที่มาจากกาย วาจา ใจ ที่รวมเรียกว่า กรรม และมีกฎแห่งกรรมเป็นผู้ควบคุม ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ไม่มีใครมีอำนาจมาเบี่ยงเบนผลลัพธ์ได้ ใครทำเหตุอะไรไว้ก็ต้องได้ผลตามเหตุที่เกิดขึ้นนั้น ไม่ใช่ใครทำชั่วแล้วได้ดี หรือทำดีแล้วได้ชั่วเป็นอันขาด
การอธิษฐานนั้นเป็นการสร้างพลังจิตให้เข้ม แข็ง เป็นการตั้งเป้าหมายว่าเราจะทำสิ่งใดให้สำเร็จลุล่วงไป เป็นเข็มทิศของจิต หากแต่จะสำเร็จหรือไม่มีองค์ประกอบสำคัญๆ อยู่หนึ่งประการ คือ จิตในขณะที่กำลังอธิษฐานนั้นมีกำลังหรือไม่?
และองค์ประกอบสำคัญนี้ยังมีองค์ประกอบอื่น สนับสนุนอยู่อีกหนึ่งอย่าง ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ เคยเป็นผู้ประกอบกรรมที่สนับสนุนกับการอธิษฐานนี้หรือไม่ หากมีมากก็จะอธิษฐานให้สำเร็จได้โดยง่าย หากมีน้อยก็จะสำเร็จได้โดยยาก และหากไม่มีก็ไม่มีทางที่จะสำเร็จได้เลย (ซึ่งจะขออนุญาตอธิบายให้ทราบอย่างละเอียดในบทต่อไป โปรดอดใจไว้อยากให้ทำความเข้าในในเรื่องของการอธิษฐานอย่างถ่องแท้เสียก่อน)
การอธิษฐานนี้ บางท่านอาจจะเห็นว่ามันขัดแย้งกับกฎแห่งกรรม แต่แท้ที่จริงแล้วหาได้ขัดแย้งกับกฎแห่งกรรมเลยแม้แต่น้อย การอธิษฐานเปรียบได้ดั่งเพียงการจัดระเบียบใจจิตใจนี้เท่านั้นว่าจิตจะ น้อมนำไปทางไหน เมื่อจิตน้อมไปทางไหนเวรกรรมในทางนั้นก็จะตามมาสนองในแนวทางนั้น
สำหรับกิจกรรมต่างๆ ที่มีความเกี่ยวข้องกับการอธิษฐาน ก็เช่น การสวดมนต์ การไปทำบุญทำทาน การกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ การบนบานศาลกล่าว การนำของไปเซ่นไหว้บูชาต่อรูปเคารพ องค์เทพต่างๆ ฯลฯ ไปจนถึงการเชื่อมโยงถึงการประกอบพิธีกรรมต่างๆ เพื่อเป็นการติดต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ตนเองได้ให้ความเคารพบูชา โดยต้องยึดหลักปฏิบัติตามพิธีกรรมดังกล่าวที่ตนมีความเชื่ออยู่อย่างถูกต้อง แล้วจึงค่อยขอพรหรือตั้งจิตอธิษฐาน ซึ่งเชื่อว่าผลของการอธิษฐานจะเป็นไปตามที่กรรมกำหนด

โปรดอย่าสับสนเป็นอันขาดว่า การอธิษฐานกับการไปบนบานนั้นเป็นเรื่องเดียวกัน ทั้งสองสิ่งนี้คนละเรื่อง คนละทางกัน การอธิษฐานเป็นเรื่องดีในชีวิตที่ควรทำ แต่การบนบานนั้นเป็นการไปติดสินบนที่ไม่ควรทำ
แต่การอธิษฐานในแบบที่กล่าวอ้างถึงสิ่ง ศักดิ์สิทธิ์ใดๆ นี้เพียงอย่างเดียวนี้ มีความหมายในเชิงวิทยาศาสตร์ทางจิตวิทยาว่าเป็นเพียงการ “เสริมสร้างและให้กำลังใจ” และ เป็นกลไกป้องกันตนเองทางจิตใจแบบหนึ่งคือ การที่คนเราได้พึ่งพิงสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นเป็นการหาที่พึ่งทางใจ มีจุดประสงค์เพื่อลดความเครียด ความวิตกกังวลและคลายทุกข์ลงแต่ก็ยังไม่มีผลต่อการช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริงใน ทางปฏิบัติโดยตรง
ดังนั้นการอธิษฐานที่แท้จริงและจะมีพลานุ ภาพมากกว่าก็คือ การที่ผู้ที่ได้อธิษฐานนั้นมีจิตใจที่เข้มแข็งและจิตมีความบริสุทธิ์ละเอียด มากพอ ที่จะทำให้เกิด “ปัญญา” และได้ใช้ “ปัญญา” วิเคราะห์พิจารณาถึงสาเหตุของความทุกข์ทั้งหลายที่ทำให้ชีวิตของตนเองมี ทุกข์อยู่นั้นว่าเกิดมาจากสิ่งใดและต้องแก้ไขอย่างไร
ความรู้ทุกอย่างในโลกนี้ ยังไม่ใช่ปัญญาทั้งหมด เพราะปัญญาคือ การตกผลึกของความรู้ เป็นความรู้ที่แท้จริงและนำไปใช้ประโยชน์ทางใดทางหนึ่งได้ เหมือนข้าวสารนั้นเป็นเพียงความรู้ แต่ยังไม่มีค่าอะไรหรือมีคุณค่ามากขึ้น ถ้ายังไม่ได้เอาไปหุงเป็นข้าวสวย หรือข้าวต้มนำมากินเพื่อบำรุงร่างกาย
จิตที่บริสุทธิ์และมีกำลังมากพอเป็นตัวแปร ที่จะทำความรู้นั้นให้เป็นปัญญา เมื่อมีปัญญาก็จะเห็นความสว่างในการแก้ไขทุกปัญหาที่เกิดขึ้น รู้จักเหตุ ถ้าเหตุหรือการกระทำของเรานั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี ก็ต้องรู้จักวิธีปรับปรุงเหตุเพื่อให้ผลนั้นออกมาดี
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการที่จะรวยมีเงินทอง เรารู้ดีว่าเหตุที่จะทำให้เราร่ำรวยได้นั้นอยู่ที่ความขยันหมั่น เพียร ความอดทน ซื่อสัตย์มีน้ำใจเผื่อแผ่ช่วยเหลือผู้อื่น ความสามารถพิเศษ ทุนรอน สถานที่ประกอบการ ฯลฯ เหตุเหล่านี้ถ้ายังไม่เต็มที่ยังไม่พร้อม ผลลัพธ์ที่ออกมาก็ยังไม่เต็มที่หรือสมบูรณ์เช่นกัน
ประเภทว่าอยากรวย แต่ไม่ทำงาน นอนดึกตื่นสายโดยไร้สาเหตุ อยากขายข้าวแกงแต่ทำกับข้าวไม่เป็น อยากเปิดร้านอินเตอร์เน็ตมีคนมาใช้บริการเยอะๆ เพื่อจะได้รวยเหมือนคนอื่น แต่ดันไปเปิดในแหล่งที่ไกลชุมชนหรือในที่ไม่มีคนเล่นอินเตอร์เน็ตเป็น แบบนี้เหตุและปัจจัยมันไม่พร้อม ไม่สมบูรณ์ทำอย่างไรก็ไม่รวย ต่อให้ไปอธิษฐาน 500 วัด 1,000 ศาลเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านก็ช่วยอะไรไม่ได้
เมื่อได้สร้างบุญหรือเหตุให้ตรงแล้ว หลังจากนั้นก็จะใช้การอธิษฐานในสิ่งที่ตนเองต้องการกำหนดขึ้นมาเป็น “สัจจะวาจา” ที่ จะแสดงความตั้งใจแน่วแน่ในการประพฤติปฏิบัติตนตามที่ตนได้ให้คำมั่นสัญญาเอา ไว้ โดยมีหลักอิงกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาสนาที่ตนเองมีความเชื่อมั่นอยู่เป็นการ เสริมกำลังใจ
การอธิษฐานโดยอาศัยหลักและวิธีการแบบนี้นี่ แหละครับ จึงจะก่อกำลังในการแก้ปัญหาทุกอย่างให้ได้ผล สามารถยกระดับภูมิธรรมของชีวิตให้สูงขึ้นและเห็นผลได้จริงจากการปฏิบัติตน ตามแนวทางที่ได้ให้คำมั่นสัญญาเอาไว้
นั่นจึงถึงซึ่งความหมายของ “การอธิษฐาน” โดยแท้จริง

การอธิษฐานคืออะไร

การอธิษฐานคืออะไร

pray
การอธิษฐาน คือ การพูดคุยกับพระเจ้าโดยคำพูดของเราเอง การอธิษฐานไม่ใช่การฝึกสมาธิ หรือการตั้งจิตปรารถนาให้เป็นไปตามความตั้งใจของเรา และการอธิษฐานก็ไม่ได้เป็นเพียงการทูลขอสิ่งต่าง ๆ จากพระเจ้าเท่านั้น แต่การอธิษฐานเป็นส่วนหนึ่งของความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับพระเจ้า


การอธิษฐานเปรียบเสมือนลมหายใจ

เราต้องหายใจเข้าออกตลอดเวลาเพื่อจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ฉันใด
เราก็ต้องอธิษฐานอยู่ตลอดเวลาเพื่อเราจะมีความสัมพันธ์สนิทกับพระเจ้าฉันนั้น
ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร อยู่ที่ไหน เราก็สามารถคุยกับพระเจ้าได้ตลอดเวลา ได้ทุกวินาที


จะอธิษฐานอย่างไร
1. สรรเสริญพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์เป็น
2. ขอบคุณพระเจ้าในสิ่งที่พระองค์ทำ
3. สารภาพความผิดบาปในแต่ละวันต่อพระเจ้า
4. ทูลขอพระเจ้าในความปรารถนาของคุณ
5. ทูลขอพระเจ้าเผื่อผู้อื่น


ารสรรเสริญ
เราสรรเสริญพระเจ้าเพราะ..พระเจ้านั้นยิ่งใหญ่และสมควรจะสรรเสริญ พระเจ้าเป็นพระเจ้าที่เที่ยงแท้แต่พระองค์เดียว พระผู้สร้างจักรวาล โลก มนุษย์ และทุกสิ่งทุกอย่าง พระเจ้าแห่งความรัก ความสัตย์ซื่อ เมตตา และชอบธรรมดีพร้อม



การขอบคุณ
การขอบคุณต่างจากการสรรเสริญ เพราะการขอบคุณเน้นที่การแสดงความรู้สึกกตัญญูต่อพระเจ้าที่พระองค์กระทำ สิ่งต่าง ๆ เพื่อเรา เช่น พระองค์ไถ่เราจากความบาป พระองค์ดูแลชีวิตของเรา และปกป้องเรา พระองค์ยกโทษความบาปให้เราเมื่อเราหันกลับมาหาพระองค์และสารภาพความผิดนั้น พระองค์ตอบคำอธิษฐานที่เราทูลขอต่อพระองค์ อ่าน 1 เธสะโลนิกา 5:18



การสารภาพ
การสารภาพบาปที่แท้จริง คือ การกลับใจใหม่จากความบาปที่เราได้ทำ และเมื่อเราสารภาพบาปของเราต่อพระเจ้า พระองค์สัญญาจะยกโทษความผิดบาปทั้งสิ้นของเรา อ่าน 1ยอห์น 1:9



การทูลขอ
เพราะเราเป็นบุตรของพระเจ้า เราจึงมีสิทธิที่จะขอสิ่งต่าง ๆ จากพระองค์ ทุกคำที่เราอธิษฐานทูลขอต่อพระองค์พระองค์จะตอบเราแน่ ซึ่งคำตอบของพระองค์อาจเป็น 1. ได้ 2. ไม่ได้ 3. รอก่อน (ถ้าคุณจดคำอธิษฐานของคุณลงในสมุดเอาไว้ ในที่สุดคุณจะพบว่าพระเจ้าตอบคำอธิษฐานทุกคำของคุณจริง ๆ)




ท่าทีที่ถูกต้องในการอธิษฐาน
ศึกษาจากพระคำข้างล่างนี้
1. สดุดี 66:18 "ถ้าข้าพเจ้าได้บ่มความชั่วไว้ในใจข้าพเจ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าคงไม่ทรงสดับ"


2. ยากอบ 4:3 "ท่านขอ และไม่ได้รับ เพราะท่านขอผิด หวังได้ไปเพื่อสนองกิเลสตัณหาของท่าน"


3. ยาก อบ 1:6-7 "แต่จงให้ผู้นั้นทูลขอด้วยความเชื่อ อย่าสงสัยเลย เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย


4. 1ยอห์น 5:14-15 " และนี่คือ ความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือ ถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงโปรดฟังเรา และถ้าเรารู้ว่า พระองค์ทรงโปรดฟังเรา เมื่อเราทูลขอสิ่งใดๆ เราก็รู้ว่า เราได้รับสิ่งที่เราทูลขอนั้นจากพระองค์



การทูลขอเผื่อผู้อื่น
พระ เยซูได้เป็นแบบอย่างให้แก่เราในการอธิษฐานเผื่อผู้อื่น ดังนั้นในชีวิตของเราจึงไม่ควรแต่อธิษฐานทูลขอเพื่อตัวเองเท่านั้น แต่เราควรอธิษฐานเผื่อผู้อื่นด้วยความห่วงใยด้วย เช่น
- อธิษฐานเผื่อคนในครอบครัว เพื่อน ๆ ที่จะรู้จักกับพระเจ้าจริง ๆ
- อธิษฐานเผื่อผู้ป่วย
- อธิษฐานเผื่อพี่เลี้ยงของคุณ
- อธิษฐานเผื่อผู้รับใช้พระเจ้า
- และอื่น ๆ


ที่มา หนังสือ BCL  อ.สิริกันยา บุณยเกียรติ